กสม. แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 19/2568 กสม. ตรวจสอบกรณีโรงงานหลอมยางรถยนต์ จ.ขอนแก่น ก่อมลพิษทางสิ่งแวดล้อม แนะแก้ระเบียบการพิจารณาออกใบอนุญาต ให้จัดประชุมรับฟังความเห็นโดยทุกฝ่ายมีส่วนร่วม - มีหนังสือถึงนายกฯ กรณีปัญหามลพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายจากการทำเหมืองแร่ในเมียนมา เสนอเร่งเยียวยาประชาชนและสร้างความร่วมมือระดับภูมิภาคแก้ผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน

06/06/2568 879

                    วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน 2568 เวลา 10.30 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์  ภัยหลีกลี้ และนางสาวศยามล  ไกยูรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 19/2568 โดยมีวาระสำคัญ ดังนี้

                    1. กสม. ตรวจสอบกรณีโรงงานหลอมยางรถยนต์ จ.ขอนแก่น ก่อมลพิษทางสิ่งแวดล้อม แนะแก้ระเบียบการพิจารณาออกใบอนุญาต จากการปิดประกาศเป็นการประชุมรับฟังความคิดเห็นโดยทุกฝ่ายมีส่วนร่วม

               นายวสันต์  ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ร้องรายหนึ่งเมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 ระบุว่า ผู้ร้องเป็นตัวแทนประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการประกอบกิจการโรงงานหลอมยางรถยนต์ของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง (ผู้ถูกร้องที่ 1) ในพื้นที่ ต.โคกสูง อ.อุบลรัตน์ จ.ขอนแก่น โรงงานดังกล่าวประกอบกิจการทำน้ำมันเชื้อเพลิงทดแทนจากยางรถยนต์และพลาสติกใช้แล้ว ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2567 และก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและที่อยู่อาศัยของประชาชนใกล้เคียงหลายหมู่บ้าน ทั้งปัญหาฝุ่นละออง กลิ่นเหม็นจากการหลอมยางรถยนต์ และน้ำเสีย รวมถึงประชาชนในพื้นที่ไม่มีส่วนร่วมหรือเคยได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารก่อนการขออนุญาตประกอบกิจการโรงงาน และการพิจารณาออกใบอนุญาตโดยสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดขอนแก่น (ผู้ถูกร้องที่ 2) และกรมโรงงานอุตสาหกรรม (ผู้ถูกร้องที่ 3) ยังมีความเร่งรีบเกินสมควร จึงขอให้ตรวจสอบ

               กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นว่า กรณีตามคำร้องมีประเด็นที่ต้องพิจารณาแยกเป็น 3 ประเด็น ได้แก่ ประเด็นแรกการมีส่วนร่วมและการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของประชาชนในการพิจารณาขออนุญาตประกอบกิจการโรงงานดังกล่าว เห็นว่า พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มิได้กำหนดให้ผู้ถูกร้องที่ 1 ในฐานะผู้ยื่นคำขอประกอบกิจการโรงงานต้องจัดประชุมประชาพิจารณ์เพื่อนำไปประกอบการพิจารณายื่นคำขอรับใบอนุญาต อย่างไรก็ดี เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนในพื้นที่เข้าถึงสิทธิในข้อมูลข่าวสารและสิทธิในการมีส่วนร่วมตัดสินใจการดำเนินการใด ๆ ที่อาจจะก่อให้เกิดประโยชน์หรือผลกระทบต่อส่วนได้เสียสำคัญของชุมชน ผู้ถูกร้องที่ 1 ได้จัดประชุมประชาพิจารณ์รับฟังความเห็นในการขอตั้งโรงงานหลอมยางรถยนต์ขึ้นเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2565 ซึ่งมีประชาชนเข้าร่วมประชุม 79 ราย จากบ้านโคกสูง หมู่ที่ 2 ซึ่งเป็นพื้นที่ตั้งโรงงาน แต่ไม่ครอบคลุมถึงประชาชนในหมู่บ้านอื่น ๆ ที่อยู่ในชุมชนเดียวกัน กสม. เห็นว่า การจัดประชุมครั้งดังกล่าว ของผู้ถูกร้องที่ 1 อาจสร้างความสับสนให้กับประชาชนในพื้นที่ว่าเป็นการรับฟังความคิดเห็นตามกระบวนการพิจารณาขออนุญาตประกอบกิจการโรงงานของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดขอนแก่น และกรมโรงงานอุตสาหกรรม ทั้งที่ในขณะนั้นผู้ถูกร้องที่ 1 ยังมิได้ยื่นคำขออนุญาตประกอบกิจการ การประชุมดังกล่าวจึงไม่มีกฎหมายหรือระเบียบที่กำหนดวิธีการรับฟังความคิดเห็นไว้เป็นการเฉพาะ จึงมีลักษณะที่สุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน

               ประเด็นที่สอง กระบวนการพิจารณาคำขออนุญาตของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดขอนแก่น (ผู้ถูกร้องที่ 2) และกรมโรงงานอุตสาหกรรม (ผู้ถูกร้องที่ 3) ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนและมีความเร่งรีบเกินสมควรหรือไม่ เห็นว่า ระเบียบกระทรวงอุตสาหกรรมว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในการพิจารณาออกใบรับแจ้งการประกอบกิจการโรงงาน ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน และใบอนุญาตขยายโรงงาน ตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน พ.ศ. 2555 และ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2557 กำหนดให้ผู้ถูกร้องที่ 2 จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นต่อการขออนุญาตประกอบกิจการโรงงาน ด้วยวิธีการจัดทำประกาศการรับฟังความคิดเห็น โดยให้ปิดประกาศไว้ในสำนักงานของผู้ถูกร้องที่ 2 ที่ว่าการอำเภอท้องที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ตั้งอยู่ และบริเวณที่ตั้งโรงงาน ซึ่งผู้ถูกร้องที่ 2 ได้จัดทำประกาศการรับฟังความคิดเห็น และจัดทำประกาศสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นโดยมีระยะห่างจากวันที่ครบกำหนดตามที่ระเบียบทั้งสองฉบับกำหนดไว้ และผู้ถูกร้องที่ 3 พิจารณาออกใบอนุญาตให้ผู้ถูกร้องที่ 1 เป็นระยะเวลา 2 เดือนนับจากที่ผู้ถูกร้องที่ 2 สรุปผลการรับฟังความคิดเห็น ซึ่งเป็นไปตามระเบียบ ในชั้นนี้ จึงไม่อาจรับฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องที่ 2 และผู้ถูกร้องที่ 3 มีการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

                    ประเด็นที่สาม ผลกระทบต่อชุมชนและพื้นที่ใกล้เคียงจากการประกอบกิจการโรงงานของผู้ถูกร้องที่ 1 เห็นว่า การประกอบกิจการโรงงานดังกล่าว ก่อให้เกิดฝุ่นจากผงเขม่าดำฟุ้งกระจายทั้งในโรงงานและฟุ้งกระจายออกนอกโรงงาน เกิดมลพิษทางอากาศเกินค่ามาตรฐานที่กฎหมายกำหนด ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนรอบโรงงาน ซึ่งถือเป็นเหตุรำคาญตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษที่จะต้องควบคุมการปล่อยน้ำเสียออกสู่สิ่งแวดล้อมตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535 และมีลักษณะที่อาจจะก่อให้เกิดอันตราย ความเสียหายหรือความเดือดร้อนอย่างร้ายแรงในพื้นที่ใกล้เคียงกับโรงงานตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535

               กสม. เห็นว่า ปัญหาผลกระทบดังกล่าว เกิดจากความหละหลวมในการปฏิบัติหน้าที่ของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดขอนแก่น (ผู้ถูกร้องที่ 2) ที่เข้าตรวจสอบโรงงานของผู้ถูกร้องที่ 1 ก่อนเริ่มประกอบกิจการ โดยรายงานผลการตรวจสอบว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขการอนุญาตครบทุกข้อและผลการตรวจสอบด้านอื่น ๆ เป็นไปตามที่ได้รับอนุญาต ซึ่งไม่สอดคล้องกับการตรวจสอบของกรมโรงงานอุตสาหกรรม (ผู้ถูกร้องที่ 3) ในภายหลัง ซึ่งพบว่าการประกอบกิจการก่อให้เกิดมลพิษจากฝุ่นและเขม่าดำฟุ้งกระจายออกนอกโรงงาน ดังนั้น การที่ผู้ถูกร้องที่ 2 ไม่ตรวจสอบอย่างเคร่งครัดว่าผู้ถูกร้องที่ 1 ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขการอนุญาตก่อนการเริ่มประกอบกิจการหรือไม่ และการที่ผู้ถูกร้องที่ 1 เริ่มประกอบกิจการจนส่งผลกระทบต่อชุมชนและพื้นที่ใกล้เคียง จึงเป็นการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

               อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เกิดปัญหาและผลกระทบแล้ว เทศบาลตำบลโคกสูง ผู้ถูกร้องที่ 2 ผู้ถูกร้องที่ 3 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้าตรวจสอบและมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องที่ 1 ปรับปรุงแก้ไขโรงงานแล้ว ประกอบกับผู้ถูกร้องที่ 3 มีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องที่ 1 หยุดประกอบกิจการโรงงานทั้งหมดเป็นการชั่วคราว เพื่อปรับปรุงแก้ไขให้เป็นไปตามเงื่อนไขการอนุญาตและไม่ให้มีลักษณะที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบขึ้นอีก จึงเป็นเรื่องที่มีการแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสมแล้ว

               ด้วยเหตุผลดังกล่าว กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะไปยังกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และกรมโรงงานอุตสาหกรรม ร่วมกันส่งเสริมให้โรงงานหลอมยางรถยนต์ (ผู้ถูกร้องที่ 1) นำแนวทางการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (HRDD) มาเป็นแนวทางปฏิบัติในการประกอบธุรกิจ และให้จัดประชุมในพื้นที่บ้านโคกสูง หมู่ที่ 1 หมู่ที่ 2 หมู่ที่ 5 หมู่ที่ 12 และหมู่ที่ 13 รวมถึงหมู่บ้านอื่นที่อาจได้รับประโยชน์หรือผลกระทบจากการประกอบกิจการโรงงาน เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับการประกอบกิจการโรงงาน ปัญหาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และมาตรการแก้ไขปัญหา รวมถึงกลไกการแจ้งปัญหาผลกระทบระหว่างผู้ถูกร้องที่ 1 และประชาชน โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมชี้แจงข้อมูลในพื้นที่ รวมทั้งให้ผู้ถูกร้องที่ 1 ปฏิบัติตามแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 10 (ขอนแก่น) เพื่อป้องกันปัญหาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและคุ้มครองความปลอดภัยของบุคลากรภายในโรงงาน

               นอกจากนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม และกรมโรงงานอุตสาหกรรม ปรับปรุงแก้ไขระเบียบกระทรวงอุตสาหกรรมว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในการพิจารณาออกใบรับแจ้งการประกอบกิจการโรงงาน ใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน และใบอนุญาตขยายโรงงาน ตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน พ.ศ. 2555 และ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2557 ซึ่งควรปรับเปลี่ยนวิธีการรับฟังความคิดเห็นจากการปิดประกาศเพียงวิธีเดียว เป็นการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียในพื้นที่ควบคู่กับการประชาสัมพันธ์ด้วยวิธีอื่น ๆ และควรกำหนดผู้มีส่วนได้เสียให้ครอบคลุมพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากการขออนุญาตประกอบกิจการโรงงาน

               ทั้งนี้ ให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม แจ้งไปยังสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดขอนแก่น และสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดในสังกัด เพื่อให้กำกับดูแลพนักงานเจ้าหน้าที่ที่เข้าตรวจสอบการเริ่มประกอบกิจการโรงงานของผู้ได้รับใบอนุญาต (ร.ง. 4) ให้เป็นไปตามเงื่อนไขการขออนุญาตประกอบกิจการโรงงานและการดำเนินการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องตามแบบรายงานผลการตรวจโรงงาน (แบบตรวจ 02) อย่างเคร่งครัด หากพบว่าผู้ได้รับใบอนุญาตไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามเงื่อนไขการอนุญาตหรือการดำเนินการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้มีคำสั่งให้ผู้ได้รับใบอนุญาตปรับปรุงแก้ไขก่อนเริ่มประกอบกิจการ

 

               2. กสม. มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี กรณีปัญหามลพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายจากการทำเหมืองแร่ในเมียนมา เสนอเร่งแก้ไขเยียวยาประชาชน แนะสร้างความร่วมมือระดับภูมิภาคแก้ผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน

               นางสาวศยามล  ไกยูรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏสถานการณ์ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสุขภาพของประชาชนที่ใช้น้ำจากแม่น้ำดังกล่าว ทั้งเพื่อการอุปโภคบริโภคและการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ล่าสุด เมื่อวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี แจ้งสภาพปัญหา ข้อพิจารณา และข้อเสนอแนะในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนจากปัญหาสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดนกรณีดังกล่าว สรุปได้ดังนี้

               ในช่วง 1 - 2 ปีที่ผ่านมา สถานการณ์การปนเปื้อนมลพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายทวีความรุนแรงขึ้น โดยมีสาเหตุหลักจากการทำเหมืองแร่ทองคำและแร่แรร์เอิร์ธของบริษัทเอกชนที่ไม่ทราบสัญชาติ บริเวณต้นแม่น้ำกกและแม่น้ำสายในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ในเขตปกครองของกลุ่มชาติพันธุ์ว้า มีการสกัดแร่ด้วยสารเคมีอันตราย ทำให้มีดินและกากแร่ปนเปื้อนโลหะหนัก (สารหนู แคดเมียม ปรอท) ชะล้างลงสู่แม่น้ำสายหลัก และไหลเข้าสู่ประเทศไทย ส่งผลให้คุณภาพน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเสื่อมโทรมลงอย่างมาก

               การได้รับสารหนูสะสมในร่างกายอย่างต่อเนื่องแม้ในปริมาณน้อย จะนำไปสู่ปัญหาร้ายแรงทางสุขภาพ อาทิ การเกิดโรคผิวหนัง ความผิดปกติของระบบประสาทส่วนปลาย โรคหลอดเลือดส่วนปลายอุดตัน และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ภาวะความจำเสื่อม ตลอดจนส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางสติปัญญาในเด็ก และเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งบุตรหรือการคลอดก่อนกำหนดในสตรีมีครรภ์

               กสม. เห็นว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการละเมิดสิทธิของบุคคลที่จะดำรงชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่สะอาด ปลอดภัยต่อสุขภาพ และมีความยั่งยืน และต่อสิทธิในการมีมาตรฐานการครองชีพที่เพียงพอ โดยเฉพาะสิทธิในอาหารและน้ำ ตามข้อ 11 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR) รวมทั้งต่อสิทธิในการมีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์สูงสุด ตามข้อ 12 ของ ICESCR เนื่องจากการปนเปื้อนของสารพิษทำให้ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงน้ำสะอาดและอาหารที่ปลอดภัยได้ สถานการณ์นี้ยังซ้ำเติมและขยายความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อกลุ่มเปราะบาง และอาจนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผู้ใช้น้ำในพื้นที่ หากสถานการณ์นี้ไม่ได้รับการแก้ไขโดยเร่งด่วน จะส่งผลให้ต้นทุนค่าครองชีพของครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ และก่อให้เกิดภาระทางการคลังในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและดูแลสุขภาพของประชาชนในระยะยาว

               กสม. เห็นว่าปัญหามลพิษที่เกิดขึ้นเป็นอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพและการดำรงชีวิตของประชาชน และมีแนวโน้มแพร่กระจายไปยังพื้นที่อื่น ดังนั้น เพื่อให้การแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนมลพิษในลุ่มน้ำกก (แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำรวก) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และป้องกันปัญหาขยายตัวสู่ลุ่มน้ำโขงซึ่งจะยิ่งส่งผลกระทบในวงกว้าง จึงเห็นสมควรนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะของ กสม. ให้มีผลในทางปฏิบัติโดยเร็วที่สุด ดังต่อไปนี้

               (1) มาตรการภายในประเทศ

               (1.1) ให้กรมควบคุมมลพิษ ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพิ่มความถี่ของการเก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนดินในพื้นที่เสี่ยง เปิดเผยผลการตรวจวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อมและข้อมูลความเสี่ยงต่อสุขภาพแก่สาธารณชนอย่างสม่ำเสมอด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย และให้คำแนะนำในการปฏิบัติตนที่เหมาะสม รวมทั้งพัฒนาระบบการเตือนภัยให้เป็นไปอย่างรวดเร็วและทั่วถึง

                (1.2) ให้กระทรวงสาธารณสุข (โดยกรมควบคุมโรค กรมอนามัย และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด) ตรวจสุขภาพและคัดกรองโรคที่อาจเกิดจากโลหะหนัก (โดยเฉพาะสารหนู) ให้แก่ประชากรเสี่ยงในพื้นที่อย่างเร่งด่วนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย พร้อมทั้งจัดทำฐานข้อมูลสุขภาพเพื่อติดตามผลในระยะยาวอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ

               (1.3) ให้การประปาส่วนภูมิภาค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกระทรวงมหาดไทย เร่งจัดหาน้ำดื่มสะอาดสำรองสำหรับประชาชนในพื้นที่ประสบภัย และวางแผนระยะยาวในการจัดหาแหล่งน้ำดิบที่ปลอดภัย พร้อมทั้งพัฒนาระบบประปาหมู่บ้านให้มีประสิทธิภาพและครอบคลุม

               (1.4) ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประเมินผลกระทบเบื้องต้นต่อภาคเกษตรกรรมและการท่องเที่ยว และกำหนดมาตรการช่วยเหลือเยียวยาเฉพาะหน้าแก่ผู้ได้รับผลกระทบ พร้อมทั้งให้คำแนะนำในการปรับตัวและฟื้นฟูอาชีพแก่ผู้ได้รับผลกระทบ

               (1.5) สนับสนุนงบประมาณสำหรับการขจัดสารพิษและฟื้นฟูแหล่งน้ำที่ปนเปื้อน รวมถึงโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าต้นน้ำ พื้นที่ชุ่มน้ำ และพืชพรรณริมตลิ่ง เพื่อเสริมสร้างความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ

                    (1.6) ให้คณะกรรมการลุ่มน้ำโขงเหนือเป็นหน่วยประสานงานหลัก และเสนอให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) แต่งตั้งหรือปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำระดับจังหวัดเชียงรายและจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีผู้แทนจากภาคประชาสังคม ภาคประชาชน นักวิชาการ และหน่วยงานภาครัฐ ในสัดส่วนที่เหมาะสมและสมดุล โดยให้คณะอนุกรรมการข้างต้นจัดทำแผนปฏิบัติการของจังหวัด โดยการมีส่วนร่วมของชุมชนตั้งแต่ระดับชุมชน ลุ่มน้ำ จนถึงระดับชาติ ตามหลักธรรมาภิบาลน้ำ (Water Governance) และดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามข้อ (1.1) – (1.5)

               (2) มาตรการระหว่างประเทศ

               ให้กระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เร่งดำเนินการเจรจากับประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษ เพื่อให้ยุติการประกอบกิจการเหมืองแร่ที่เป็นต้นเหตุของมลพิษโดยเร็วที่สุด โดยใช้กลไกความร่วมมือทั้งในระดับทวิภาคีและระดับภูมิภาคที่มีอยู่ รวมทั้งผลักดันให้รัฐเจ้าของสัญชาติของบริษัทแม่แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างเหมาะสมตามหลักการชี้แนะแห่งสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (UNGPs)

               นอกจากนี้ให้กระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผลักดันให้ประเทศในภูมิภาคกำหนดแนวทางความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษข้ามพรมแดนผ่านกรอบความร่วมมือต่าง ๆ ที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิผล รวมถึงให้ประเทศในภูมิภาคพัฒนากฎหมายภายในเพื่อรองรับการจัดการ ป้องกัน และเยียวยาผลกระทบจากปัญหามลพิษข้ามพรมแดน

 

สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

6 มิถุนายน 2568

-----------------------------------------------------------------------------(English translation below)----------------------------------------------------------------------------------------------

Weekly Human Rights Press Briefing No. 19/2025
National Human Rights Commission of Thailand (NHRCT)
6 June 2025

            The National Human Rights Commission of Thailand (NHRCT), represented by Mr. Wasan Paileeklee and Ms. Sayamol Kaiyoorawongs, held its 19th weekly press briefing on Friday, 6 June 2025, at 10:30 a.m. The briefing addressed the following key issues:

            1. Environmental pollution from a tire recycling factory in Khon Kaen; NHRCT recommends regulatory amendment and enhanced participatory public hearings.

            Mr. Wasan Paileeklee, NHRCT Commissione, stated that in July 2014, the NHRCT received a complaint from a community’s representative regarding environmental and public health impacts allegedly caused by a tire recycling factory in Khok Sung Sub-district, Ubolratana District, Khon Kaen Province. The factory, which commenced operations in February 2024, produces alternative fuels from used tires and plastics and, in doing so, allegedly generates air pollution, unpleasant odours, and wastewater, adversely affecting communities. Additionally, the public was neither informed nor included in the licensing process, which was overseen by the Khon Kaen Provincial Industrial Office and the Department of Industrial Works. The complainant alleged the permit was granted with undue haste and requested a thorough investigation.

            Following an assessment based on factual evidence, applicable legal frameworks, and human rights standards, the NHRCT identified three primary areas of concern. Firstly, public participation and access to information. Although the Factory Act B.E. 2535 (1992) and its subsequent amendments do not require public hearings during the licensing process, the NHRCT emphasized that affected communities must have access to relevant information and participate in the decision-making. A public hearing conducted in May 2022 with 79 participants from Moo 2 Village excluded residents of nearby villages, raising concerns about the legitimacy of the process. The Commission noted that, as the hearing was held prior to the submission of a license application and was not legally required, it may have contributed to confusion and a perceived violation of participatory rights.

            The second issue concerns whether the licensing process by the Khon Kaen Provincial Industrial Office and the Department of Industrial Works lacked public participation and was carried out too hastily. According to the Ministerial Regulation on Public Hearings under the Factory Act B.E. 2555 (2012) and its 2014 amendment, licensing authorities are required to post notices in designated locations but are not obligated to conduct meetings. In this case, the authorities complied with the regulation’s timeline and procedures. Therefore, it could not be concluded that they violated human rights by action or omission.

            The third issue involves environmental and community impacts. Investigations revealed that the factory had emitted excessive soot and black smoke, posing serious health and environmental hazards. These emissions constituted a public nuisance under the Public Health Act B.E. 2535 (1992) and qualified as pollution under the Environmental Quality Promotion and Conservation Act B.E. 2535 (1992).

            The factory generated significant soot and black smoke, both inside and outside the facility, causing air pollution beyond legal limits and affecting nearby residents’ health. This constituted a public nuisance under the Public Health Act B.E. 2535 (1992) and a pollution source under the Environmental Quality Promotion and Conservation Act B.E. 2535 (1992), posing serious threats to health, safety, and the environment.

            The NHRCT found that the Khon Kaen Provincial Industrial Office failed in its duty to strictly verify compliance before operations began. Their inspection report stated full compliance with all licensing conditions, which contradicted later findings by the Department of Industrial Works that confirmed pollution emissions. This failure to conduct thorough inspections before operations began resulted in violations of human rights. However, corrective actions were later undertaken by the Khok Sung Subdistrict Municipality and relevant government bodies, including a temporary suspension of the factory's operations by the Department of Industrial Works. The NHRCT acknowledged these responses as appropriate.

            For the afore-mentioned reasons, the NHRCT, at its meeting on 4 June 2025, resolved to recommend that the Rights and Liberties Protection Department and the Department of Industrial Works jointly encourage the tire recycling facility to adopt a comprehensive Human Rights Due Diligence (HRDD) approach in their business operations. This includes conducting public hearings in Moo 1, Moo 2, Moo 5, Moo 12, Moo 13, and other villages that may be affected, to clarify the factory’s activities, potential impacts, mitigation measures, and grievance mechanisms. Relevant agencies should be invited to participate in these hearings. Moreover, the company must comply with environmental standards issued by the Office of Environmental and Pollution Control Region 10 (Khon Kaen) to prevent future impacts and ensure worker safety.

            Additionally, the NHRCT recommended that the Ministry of Industry and the Department of Industrial Works revise the Ministerial Regulation on Public Hearings under the Factory Act to replace notice-posting with inclusive, in-person hearings and multi-channel public communication. The definition of affected stakeholders should be broadened to include all potentially impacted communities.

            The Department of Industrial Works should instruct all provincial industrial offices to strictly supervise staff who conduct initial inspections to ensure compliance with permit conditions. If non-compliance is found, corrective orders must be issued prior to the commencement of operations.

            2. Transboundary Water Pollution in Kok and Sai Rivers from Mining in Myanmar: NHRCT Urges Government Action and Regional Cooperation.

            Ms. Sayamol Kaiyoorawongs, Human Rights Commissioner, revealed that, On June 4, Chairperson of the NHRCT sent a letter to the Prime Minister regarding the situation of transboundary pollution in the Kok and Sai Rivers in Chiang Rai and Chiang Mai, which has severely impacted the health of people who use water from the river and for agriculture. This situation is caused by gold and rare-earth mining operations by unidentified foreign companies in Shan State, Myanmar. Toxic chemicals used in mining have contaminated water sources with heavy metals, including arsenic, cadmium, and mercury, thereby drastically degrading water quality.

            Chronic arsenic exposure, even in small amounts, can cause severe health effects, including skin diseases, peripheral nerve damage, vascular blockage, cancer, hypertension, heart disease, diabetes, memory loss, developmental delays in children, and pregnancy complications.

             The NHRCT concluded that this situation violates the rights to a clean, safe, and sustainable environment, and to an adequate standard of living—particularly food and water—under Article 11 of the International Covenant on Economic, Social and Cultural Rights (ICESCR), and the right to the highest attainable standard of health under Article 12. Contaminated water and food jeopardize public access to basic needs, deepen social inequality, particularly for vulnerable groups, and may provoke local conflicts over water usage. If left unresolved, this issue will raise household living costs, cause economic damage, and increase long-term public health and environmental recovery costs.

            Given the seriousness and risk of broader contamination, especially toward the Mekong River basin, the NHRCT proposed that the Cabinet assign relevant agencies to urgently implement the following recommendations:

            (1) Domestic Measures:

     (1.1) The Pollution Control Department should coordinate with other agencies to increase water and sediment sampling in high-risk areas, regularly publish test results and health risks in plain language, provide health guidance, and establish an efficient public warning system.

     (1.2) The Ministry of Public Health (via the Department of Disease Control, Department of Health, and Provincial Health Offices) should urgently provide free health screenings for heavy metal exposure (especially arsenic) and develop a long-term health database for monitoring.

     (1.3) The Provincial Waterworks Authority, local governments, and the Ministry of Interior should ensure emergency access to clean drinking water and plan for long-term safe water sourcing and efficient village water supply systems.

     (1.4) The Ministry of Agriculture and Cooperatives, the Ministry of Tourism and Sports, and relevant agencies should assess preliminary impacts on agriculture and tourism, provide immediate relief to affected persons, and support occupational recovery.

     (1.5) Funding should be allocated for removing toxins and rehabilitating contaminated water sources, as well as for restoring headwaters forest, wetlands, and riverbanks to support ecological balance.

     (1.6) The Upper Mekong River Basin Committee should act as the lead coordinating body. The National Water Resources Committee (NWRC) should appoint or revised the composition of provincial water sub-committees in Chiang Rai and Chiang Mai to include representatives from civil society, academia, and relevant government agencies in balanced proportions. These sub-committees should develop provincial action plans which involve community participation, based on water governance principles, and collaborate with the agencies listed in points (1.1)–(1.5).

            (2) International Measures:

      The Ministry of Foreign Affairs, along with relevant agencies such as the Ministry of Defence, the Ministry of Natural Resources and Environment, and the National Water Resources Office, should urgently engage in diplomatic negotiations with the country of origin to halt the mining operations that are causing pollution. Existing bilateral and regional cooperation mechanisms should be leveraged to pressure parent companies to assume responsibility, restore affected areas, and compensate victims in accordance with the UN Guiding Principles on Business and Human Rights (UNGPs).

      The Ministry of Foreign Affairs and relevant agencies should also promote regional collaboration frameworks to address transboundary pollution and encourage neighbouring countries to develop domestic legislation for the prevention, mitigation, and redress of such impacts.

 

Office of the National Human Rights Commission of Thailand

6 June 2025

ไฟล์เอกสารที่เกี่ยวข้อง
เลื่อนขึ้นด้านบน