กสม. ผนึกภาคีเครือข่าย จัดเวที “ลมหายใจคือชีวิต” ย้ำ “สิทธิในอากาศสะอาด” คือสิทธิมนุษยชนสากล หวั่นร่าง พ.ร.บ. ถูกตัดตอนกลไกสำคัญ เรียกร้องวุฒิสภาคงเจตนารมณ์เพื่อสิทธิของประชาชน

15/12/2568 10

            เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568 สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ร่วมกับคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันพระปกเกล้า เครือข่ายอากาศสะอาด ประเทศไทย สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ และสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน จัดเวทีสัมมนาวิชาการ เรื่อง "ลมหายใจคือชีวิต: ปลดล็อกความเข้าใจผิดร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด สู่มาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล" เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อร่างกฎหมายที่กำลังอยู่ในชั้นการพิจารณาของวุฒิสภา และยืนยันหลักการสิทธิในอากาศสะอาดตามมาตรฐานสากล ณ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

            ผู้ร่วมสัมมนาครั้งนี้ประกอบด้วยนางสาวศยามล  ไกยูรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ รองศาสตราจารย์ ดร.คนึงนิจ  ศรีบัวเอี่ยม ผู้ร่วมก่อตั้งเครือข่ายอากาศสะอาด ประเทศไทย และรองประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด คนที่หนึ่ง นางสาวร่มฉัตร  วชิรรัตนากรกุล เจ้าหน้าที่สิทธิมนุษยชน สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ดร. ธีระวุฒิ  เต็มสิริวัฒนกุล นักวิชาการเครือข่ายอากาศสะอาด โดยมีผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พัชร์  นิยมศิลป จากคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้ดำเนินรายการ

            งานสัมมนาเริ่มด้วยการกล่าวเปิดโดยรองศาสตราจารย์ ดร.กมลพร  สอนศรี ผู้ช่วยเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า โดยชี้ให้เห็นว่าอากาศเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุดและความปกติที่ต้องสูดดมฝุ่นพิษคือความผิดปกติที่คุกคามสิทธิในชีวิต พร้อมย้ำความมุ่งหวัง 4 ประการต่อร่างกฎหมายนี้ ได้แก่ 1) การยืนยันสถานะสิทธิมนุษยชนสิ่งแวดล้อม 2) การสร้างความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อมโดยยึดหลักผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย 3) โครงสร้างกฎหมายที่บูรณาการลดปัญหาไซโล (Silo) ของหน่วยงานรัฐ และ 4) การเป็นนวัตกรรมทางกฎหมายที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง

            นางสาวศยามล  ไกยูรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เน้นย้ำว่า วิกฤตฝุ่น PM2.5 ไม่ใช่เพียงปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่เป็นวิกฤตความเหลื่อมล้ำทางสังคม ร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาดฉบับนี้ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการคุ้มครอง "กลุ่มเปราะบาง" ที่มักถูกมองข้าม เช่น แรงงานก่อสร้างที่ต้องทำงานกลางแจ้ง คนไร้บ้าน ผู้สูงอายุ และเด็กเล็ก ซึ่งไม่สามารถเข้าถึงอุปกรณ์ป้องกันหรือห้องปลอดฝุ่นได้ หากกฎหมายออกมาโดยไร้สภาพบังคับ ก็จะไม่ต่างจากกฎหมายสิ่งแวดล้อมฉบับเดิมที่ล้มเหลวในการจัดการปัญหาเชิงโครงสร้าง

            กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติยังได้ระบุถึงกลไกสำคัญที่ต้องรักษาไว้ในร่างกฎหมาย ซึ่งรวมถึงการกำหนดความรับผิดข้ามพรมแดน (Transboundary Liability) ค่าเสียหายเชิงลงโทษ (Punitive Damages) การกระจายอำนาจ ฐานข้อมูลและการมีส่วนร่วม โดยเฉพาะการต้องเปิดเผยข้อมูลมลพิษที่โปร่งใสเพื่อให้ประชาชนนำไปใช้ในการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้จริง และคณะกรรมการชุดต่างๆ ต้องมีสัดส่วนภาคประชาชนเพื่อถ่วงดุลราชการ

            ด้านรองศาสตราจารย์ ดร.คนึงนิจ  ศรีบัวเอี่ยม ผู้ร่วมก่อตั้งเครือข่ายอากาศสะอาด ประเทศไทย และรองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. .... วุฒิสภา คนที่สอง  ชี้ให้เห็นว่า ร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาดฉบับนี้เป็นกฎหมายฐานสิทธิ (Rights-based legislation) ที่กำหนดให้ "สิทธิในอากาศสะอาด" เป็นสารตั้งต้นเพื่อให้รัฐมีหน้าที่ต้องเคารพ (Respect) ปกป้อง (Protect) และทำให้เป็นจริง (Fulfill) อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีความน่ากังวลในชั้นการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญ วุฒิสภา ที่มีความพยายามตัดทอนขอบเขตการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนตามกฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงตัดทอนกลไกสำคัญ เช่น กองทุนอากาศสะอาด หรือมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งเปรียบเสมือนการทำให้กฎหมายกลายเป็น "เสือกระดาษ" หรือ "เป็ดง่อย" ที่ไม่สามารถแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้จริง

            ส่วน นางสาวร่มฉัตร วชิรรัตนากรกุล จากสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ย้ำว่า "สิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดี" ซึ่งรวมถึงอากาศสะอาด ได้รับการรับรองเป็นสิทธิมนุษยชนสากลแล้วตามมติสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) ปี 2022 นอกจากนี้ การที่ประเทศไทยยื่นใบสมัครเข้าเป็นสมาชิก OECD ไทยจำเป็นต้องปรับปรุงกฎหมายภายในให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ทั้งด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม หากไทยละเลยมาตรฐานนี้ อาจกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลก

            นอกจากนี้ ดร.ธีระวุฒิ  เต็มสิริวัฒนกุล นักวิชาการเครือข่ายอากาศสะอาด ชี้แจงข้อกังวลเรื่อง "เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์" และ "กองทุนอากาศสะอาด" ที่อาจถูกตัดออก โดยยืนยันว่ามาตรการเหล่านี้มุ่งจัดการกับผู้ก่อมลพิษรายใหญ่ ไม่ใช่การผลักภาระให้คนตัวเล็กตัวน้อย ในทางกลับกัน กองทุนนี้จะนำเงินมาใช้อุดหนุน (Subsidy) เกษตรกรและผู้ประกอบการรายย่อยให้สามารถปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีเพื่อลดการปล่อยมลพิษได้ หากไม่มีกองทุนนี้ กฎหมายจะขาดสภาพบังคับและขาดกลไกจูงใจในการแก้ปัญหา

            ร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. .... กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ วงสัมมนาครั้งนี้จึงเรียกร้องให้วุฒิสภา พิจารณากฎหมายโดยยึดหลัก "สิทธิในอากาศสะอาด" เป็นตัวตั้ง ไม่ตัดทอนกลไกสำคัญอย่างกองทุนและมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ เพื่อให้กฎหมายฉบับนี้เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการคืนลมหายใจที่บริสุทธิ์ให้กับคนไทยทุกคนอย่างแท้จริง มิใช่เป็นเพียงกฎหมายที่มีแต่ชื่อแต่ไร้ผลในทางปฏิบัติ

เลื่อนขึ้นด้านบน