กสม. แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 39/2568 กสม. ชูผลงานด้านสิทธิมนุษยชนของไทยในเวทีระดับภูมิภาค APF และ SEANF จับมือประเทศสมาชิกขับเคลื่อนสิทธิในสิ่งแวดล้อม สิทธิดิจิทัล และสิทธิผู้สูงอายุ - ตรวจสอบโครงการก่อสร้างระบบโครงข่ายไฟฟ้า 500 กิโลโวลต์ นครราชสีมา 4 – วังน้อย แนะรับฟังผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงเพิ่มเติม - มีมติหยิบยกกรณีพบห้องวีไอพีของผู้ต้องขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ขึ้นตรวจสอบ

28/11/2568 58

            วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2568 เวลา 10.30 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์  ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และนายนฤนาท  คุ้มไพบูลย์ ผู้อำนวยการสำนักคุ้มครองสิทธิมนุษยชน 2 แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 39/2568 โดยมีวาระสำคัญ 3 เรื่อง ดังนี้

1. กสม. ชูผลงานด้านสิทธิมนุษยชนของไทยในเวทีความร่วมมือระดับภูมิภาค APF และ SEANF จับมือประเทศสมาชิกขับเคลื่อนสิทธิในสิ่งแวดล้อม สิทธิดิจิทัล และสิทธิผู้สูงอายุ

            นายวสันต์  ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า ในห้วงเดือนพฤศจิกายนนี้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ในฐานะสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของไทยได้เข้าร่วมและมีบทบาทเชิงรุกในเวทีความร่วมมือด้านสิทธิมนุษยชนระดับภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 11–13 พฤศจิกายน 2568 นายวสันต์  ภัยหลีกลี้ และผู้ช่วยศาสตราจารย์สุชาติ  เศรษฐมาลินี กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้เข้าร่วมการประชุมประจำปีและการประชุมใหญ่ของกรอบความร่วมมือระหว่างสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในภูมิภาคเอเชีย–แปซิฟิก (Asia Pacific Forum of National Human Rights Institutions: APF) ครั้งที่ 30 ณ เมืองนาดี ประเทศฟีจี ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการแลกเปลี่ยนทิศทางการดำเนินงาน เสริมสร้างความเข้มแข็งของสถาบันสิทธิมนุษยชนในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกทั้ง 27 แห่ง และยกระดับบทบาทให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างสอดคล้องกับหลักการปารีสหรือหลักการเกี่ยวกับสถานะของสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และมาตรฐานสากล

            กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้นำเสนอผลการดำเนินงานที่สำคัญของประเทศไทย โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งครอบคลุมการตรวจสอบข้อร้องเรียนเกี่ยวกับโครงการพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ปัญหาหมอกควัน มลพิษทางอากาศ ฝุ่น PM 2.5 และการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ พร้อมทั้งนำเสนอแนวทางการส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนและภาคีเครือข่ายผ่านสมัชชาสิทธิมนุษยชน และการกำหนดให้ประเด็นสิ่งแวดล้อมเป็นหนึ่งในวาระขับเคลื่อนสำคัญระดับชาติ ในการประชุมดังกล่าว ประเทศสมาชิกได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในสามประเด็นหลัก ได้แก่ ความเท่าเทียมระหว่างเพศ สิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการคุ้มครองนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ซึ่งสะท้อนบทบาทของสถาบันสิทธิมนุษยชนในการรับมือกับความท้าทายร่วมสมัยของภูมิภาค

            นอกจากนั้น ที่ประชุมได้หารือและรับฟังการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนของหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) และ World Justice Project (WJP) เกี่ยวกับเครื่องมือสนับสนุนการทำงานของสถาบันสิทธิมนุษยชน เช่น ดัชนีหลักนิติธรรม และ Human Rights Dashboard ซึ่ง กสม. มีความร่วมมือกับ WJP และอยู่ระหว่างการพัฒนาดัชนีสิทธิมนุษยชนที่เหมาะสมกับบริบทสังคมไทย

            ต่อมาเมื่อวันที่ 18 - 20 พฤศจิกายน 2568 กสม. โดยนางสาวพรประไพ  กาญจนรินทร์ ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และนางสาวสุภัทรา  นาคะผิว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้เข้าร่วมการประชุมประจำปีของกรอบความร่วมมือระหว่างสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (South East Asia National Human Rights Institutions Forum: SEANF) ครั้งที่ 22 ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมุ่งเสริมสร้างความร่วมมือระดับอนุภูมิภาค แลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดี และกำหนดทิศทางการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศสมาชิกให้สอดคล้องกับบริบทความเปลี่ยนแปลงของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

            โอกาสนี้ ประธาน กสม. ได้นำเสนอพัฒนาการและผลการดำเนินงานสำคัญของ กสม. ในช่วงที่ผ่านมา อาทิ การเปิดสำนักงานภูมิภาคแห่งใหม่ในภาคเหนือเพื่อขยายการเข้าถึงกลไกคุ้มครองสิทธิของประชาชน สถิติข้อร้องเรียนและผลการตรวจสอบกรณีสำคัญ การตอบรับข้อเสนอแนะจากรัฐบาล ตลอดจนการขับเคลื่อนโครงการเมืองสิทธิมนุษยชนและสมัชชาสิทธิมนุษยชน พร้อมกันนี้ ได้รายงานที่ประชุมถึงสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาภายหลังการจัดทำข้อตกลงหยุดยิงเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยยืนยันว่า กสม. จะเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพร้อมดำเนินการตามอำนาจหน้าที่หากพบว่ามีเหตุที่อาจกระทบต่อสิทธิมนุษยชน

            นางสาวสุภัทรา  นาคะผิว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ยังได้รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานด้านการป้องกันการทรมานตามแผนยุทธศาสตร์ SEANF โดยเน้นการขับเคลื่อนเชิงโครงสร้างผ่านความร่วมมือกับกองทัพและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ การตรวจเยี่ยมเชิงป้องกันในสถานที่ควบคุมตัวตามมาตรฐานของพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (OPCAT) รวมถึงการพัฒนาแนวทางปฏิบัติเพื่อยกระดับมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในกระบวนการยุติธรรม

            นอกจากนี้ ประธาน กสม. ยังได้ร่วมเป็นวิทยากรในเวทีอภิปรายหัวข้อสิทธิมนุษยชนในสังคมดิจิทัล โดยนำเสนอความเสี่ยงจากการดำเนินธุรกิจของบริษัทเทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พร้อมเน้นย้ำบทบาทของสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในการคุ้มครองกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็กและเยาวชน และการส่งเสริมให้รัฐและภาคธุรกิจดำเนินการตามหลักการชี้แนะของสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน หรือ UNGPs อย่างเป็นรูปธรรม

            ที่ประชุม SEANF ยังรับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับร่างอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของผู้สูงอายุ ซึ่งที่ประชุมแสดงจุดยืนร่วมกันถึงความจำเป็นในการมีพันธกรณีระหว่างประเทศในประเด็นดังกล่าว และย้ำว่าการคุ้มครองสิทธิของผู้สูงอายุเป็นวาระสำคัญที่ต้องได้รับการผลักดันในระดับภูมิภาคควบคู่กับเวทีโลก ซึ่ง กสม. ได้แสดงความพร้อมที่จะขับเคลื่อนประเด็นดังกล่าวร่วมกับสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติอื่นในภูมิภาค

                “การมีส่วนร่วมของ กสม. ในเวที APF และ SEANF ครั้งนี้ สะท้อนถึงบทบาทของ กสม. และประเทศไทยในการขับเคลื่อนประเด็นสิทธิมนุษยชนในระดับภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นด้านสิ่งแวดล้อม สิทธิดิจิทัล การป้องกันการทรมาน และการเสริมสร้างความเข้มแข็งของสถาบันสิทธิมนุษยชน เพื่อให้สามารถรับมือกับความท้าทายด้านสิทธิมนุษยชนในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และยั่งยืน” นายวสันต์กล่าว

2. กสม. ตรวจสอบโครงการก่อสร้างระบบโครงข่ายไฟฟ้า 500 กิโลโวลต์ นครราชสีมา 4 – วังน้อย
แนะรับฟังผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงเพิ่มเติม และนำข้อห่วงกังวลไปพิจารณาจ่ายค่าชดเชยที่เป็นธรรม


            นายนฤนาท  คุ้มไพบูลย์ ผู้อำนวยการสำนักคุ้มครองสิทธิมนุษยชน 2 เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชน 4 ราย เมื่อเดือนเมษายน 2568 ระบุว่า คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (ผู้ถูกร้อง) ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบทิศทางและแนวเขตในการวางระบบโครงข่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในโครงการก่อสร้างระบบโครงข่ายไฟฟ้า 500 กิโลโวลต์ นครราชสีมา 4 – วังน้อย โดยกำหนดให้พื้นที่แนวเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้าเริ่มต้นจากสถานีไฟฟ้าย่อยนครราชสีมา 4 ตำบลโคกไทย อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา ไปยังสถานีไฟฟ้าย่อยวังน้อย ตำบลข้าวงาม อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ระยะทางรวมกว่า 232 กิโลเมตร พาดผ่านพื้นที่ 48 ตำบล 11 อำเภอ 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดสระบุรี และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่และไม่เป็นไปตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด ซึ่งอาจกระทบต่อสิทธิชุมชนและสิทธิของบุคคลในทรัพย์สิน จึงขอให้ตรวจสอบ

            กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 43 (3) ได้รับรองสิทธิของบุคคลและชุมชนในการเสนอแนะต่อหน่วยงานของรัฐให้ดำเนินการใดอันจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนหรือชุมชน หรืองดเว้นการดำเนินการใดอันจะกระทบต่อความเป็นอยู่อย่างสงบสุขของประชาชนหรือชุมชน โดยหน่วยงานของรัฐต้องพิจารณาข้อเสนอแนะนั้นโดยให้ประชาชนที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมด้วย ตามวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ ประกอบกับประกาศคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เรื่อง หลักเกณฑ์การสำรวจหรือหาสถานที่ตั้งระบบโครงข่ายพลังงาน พ.ศ. 2553 ลงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2553 ข้อ 6 กำหนดว่าในการสำรวจหรือหาสถานที่ตั้งระบบโครงข่ายพลังงาน ให้ผู้รับใบอนุญาตดำเนินการสำรวจรวบรวมข้อมูลโดยคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อชุมชน คุณภาพสิ่งแวดล้อม ข้อมูลด้านวิศวกรรม เศรษฐศาสตร์ และความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ที่ประกาศเป็นเขตสำรวจด้วย

            ข้อเท็จจริงจากการตรวจสอบรับฟังได้ว่า ในขณะที่มีการประกาศกำหนดแนวเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า 500 กิโลโวลต์ นครราชสีมา 4 – วังน้อย ผู้ร้องทั้งสี่เป็นเจ้าของและเป็นผู้ครอบครองที่ดินและทรัพย์สินที่อยู่ในแนวเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้าดังกล่าว โดย กฟผ. ได้ออกประกาศ เรื่อง กำหนดเขตสำรวจระบบโครงข่ายไฟฟ้า 500 กิโลโวลต์ นครราชสีมา 4 – วังน้อย ลงวันที่ 27 มีนาคม 2567 เพื่อกำหนดเขตสำรวจในพื้นที่ รวม 78 ตำบล 16 อำเภอ 5 จังหวัด และปิดประกาศกำหนดเขตสำรวจไว้ ณ ที่ว่าการอำเภอ ที่ว่าการกำนัน และที่ทำการผู้ใหญ่บ้านในทุกท้องที่ที่จะเข้าสำรวจ รวมทั้งประกาศลงในหนังสือพิมพ์ซึ่งแพร่หลายในท้องถิ่นเพื่อประกาศให้ทราบเป็นการทั่วไป

            ในการกำหนดแนวเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า กฟผ. ได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาจัดประชุมชี้แจงและรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในทุกตำบลที่แนวทางเลือกพาดผ่านเพื่อเผยแพร่ข้อมูลให้ประชาชนทราบและรวบรวมความคิดเห็นของประชาชนก่อนเริ่มดำเนินโครงการ และใช้ประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (ผู้ถูกร้อง) โดยก่อนการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็น บริษัทที่ปรึกษาได้ประชาสัมพันธ์การจัดเวทีผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น ปิดป้ายประชาสัมพันธ์ตามสถานที่สำคัญ รวมถึงได้ประชาสัมพันธ์ผ่านทางสื่อทั้งออนไลน์และโฆษณาวิทยุ ในการรับฟังความคิดเห็นมีผู้เข้าร่วมรวม 4,641 คน ประกอบด้วยตัวแทนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ในพื้นที่ โดยบริษัทที่ปรึกษาได้ชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับรายละเอียดโครงการ เหตุผลความจำเป็น วัตถุประสงค์โครงการ ขั้นตอนการดำเนินงาน ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นแก่ประชาชนในท้องที่ที่จะดำเนินโครงการ รวมทั้งมาตรการป้องกันและเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายให้ทราบ โดยผู้เข้าร่วมประชุมส่วนใหญ่ ร้อยละ 63.4 เห็นว่าโครงการมีประโยชน์ต่อส่วนรวมและสนับสนุนให้ กฟผ. ดำเนินโครงการ

            เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบทิศทางและแนวเขตในการวางระบบโครงข่ายไฟฟ้า 500 กิโลโวลต์ นครราชสีมา 4–วังน้อย ผู้ถูกร้องได้คำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อชุมชน คุณภาพสิ่งแวดล้อม ข้อมูลด้านวิศวกรรม เศรษฐศาสตร์ และความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ที่ประกาศเขตสำรวจ รวมถึงเปิดโอกาสให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็น ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. 2548 และพระราชบัญญัติประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงเห็นว่าก่อนดำเนินโครงการดังกล่าว ผู้ถูกร้องและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมตามสมควรแล้ว ในชั้นนี้จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่า มีการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

            อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผู้ถูกร้องกับ กฟผ. จะได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และวิธีการที่กฎหมายกำหนดแล้วก็ตาม แต่ประชาชนในพื้นที่ยังคงมีความกังวลใจเกี่ยวกับสิทธิในการใช้ประโยชน์ในที่ดินที่ถูกรอนสิทธิ มาตรฐานความปลอดภัยของระบบโครงข่ายไฟฟ้า มาตรการในการเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายที่เหมาะสมและเป็นธรรม รวมถึงการเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการในแต่ละขั้นตอน อีกทั้ง ปัจจุบันได้มีประกาศกำหนดเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้าทำให้ทราบถึงเจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดินและทรัพย์สินที่อยู่ในเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า ซึ่งเป็นผู้ได้รับผลกระทบที่แท้จริงแล้ว ดังนั้น เพื่อเป็นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการดำเนินโครงการของรัฐ สิทธิในการรับทราบและเข้าถึงข้อมูลหรือข่าวสารสาธารณะ และสิทธิของบุคคลในทรัพย์สิน กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 จึงเห็นควรเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนต่อคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (ผู้ถูกร้อง) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป สรุปได้ดังนี้

            ให้ผู้ถูกร้องร่วมกับ กฟผ. จัดประชุมชี้แจงข้อมูลและรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ที่ถูกประกาศกำหนดเป็นเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียและเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการดำเนินโครงการก่อสร้างระบบโครงข่ายไฟฟ้า 500 กิโลโวลต์ นครราชสีมา 4 – วังน้อย นอกเหนือจากการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นในกระบวนการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (Initial Environmental Examination : IEE) รวมทั้งให้นำข้อห่วงกังวลและข้อเสนอแนะของประชาชนไปเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาทางเลือกในการจ่ายค่าทดแทนที่ดินและทรัพย์สินจากการใช้ประโยชน์ในที่ดิน เช่น การจ่ายค่าเช่ารายปี การกำหนดค่าทดแทนที่ดินตามหลักเกณฑ์ในพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2562 รวมถึงต้องเปิดโอกาสให้มีผู้แทนของกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการพิจารณาราคาที่ดินและทรัพย์สิน ทั้งนี้ เพื่อให้การจ่ายค่าทดแทนที่ดินและทรัพย์สินเป็นไปอย่างเหมาะสมและเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น

            นอกจากนี้ ให้ กฟผ. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือสถาบันการศึกษา เร่งศึกษาวิจัยเกี่ยวกับมาตรฐานความปลอดภัยและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากระบบโครงข่ายไฟฟ้า รวมถึงเร่งประสานทำความเข้าใจเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในพื้นที่ด้วย

3. กสม. มีมติหยิบยกกรณีพบห้องวีไอพีของผู้ต้องขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ขึ้นตรวจสอบ


            นายวสันต์  ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้พิจารณากรณีชุดปฏิบัติการพิเศษของกรมราชทัณฑ์ตรวจค้นเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและพบห้องลับที่ถูกดัดแปลงเป็นห้องวีไอพีเพื่ออำนวยความสะดวกและให้บริการแก่กลุ่มผู้ต้องขังชาวจีนและผู้มีอิทธิพลที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเห็นชอบให้ตรวจสอบกรณีดังกล่าว และเชิญหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลข้อเท็จจริง

            “เรื่องนี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางว่า มีการเลือกปฏิบัติ ตลอดจนมีการทุจริตต่อหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง กสม. เห็นว่า เป็นเรื่องใหญ่ กระทบต่อความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม อาจขัดต่อกฎหมาย และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 27 ที่บัญญัติไว้ว่า บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลไม่ว่าด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องอายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม หรือเหตุอื่นใด จะกระทำมิได้ ในการประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 จึงมีมติให้หยิบยกกรณีห้องวีไอพีของผู้ต้องขังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ขึ้นตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อไป นายวสันต์กล่าว

 

 

28 พฤศจิกายน 2568

สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

 

ไฟล์เอกสารที่เกี่ยวข้อง
เลื่อนขึ้นด้านบน