กสม. ศยามล ร่วมเป็นวิทยากรในกิจกรรม Media Human Rights Tour: สำรวจผลกระทบโครงการแลนด์บริดจ์ผ่านสายตาชาวบ้านและชาวมอแกน

14/11/2568 50

          เมื่อวันที่ 10 - 12 พฤศจิกายน 2568 นางสาวศยามล  ไกยูรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็นวิทยากรหัวข้อ “ฟังคนเกาะพยาม ก่อนเสียงจะจมหายไปในคลื่นแลนด์บริดจ์” ภายใต้กิจกรรม “Media Human Rights Tour: สำรวจผลกระทบโครงการแลนด์บริดจ์ผ่านสายตาชาวบ้านและชาวมอแกน” จัดโดย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วย นายอภิศักดิ์  ทัศนี จากองค์กร Beach for Life นักวิจัยเรื่องทรัพยากร ตัวแทนผู้ประกอบการบนเกาะพยาม ตัวแทนคนท้องถิ่นบนเกาะพยาม ตัวแทนชาวมอแกนบนเกาะพยาม และสื่อมวลชนเข้าร่วมรับฟัง ณ MP รีสอร์ท เกาะพยาม

          ในการนี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้กล่าวถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศไทยในอดีตที่ผ่านมาไม่มีความต่อเนื่อง เนื่องจากข้อจำกัดที่ประเทศไทยขาดเสถียรภาพทางการเมือง ส่งผลให้แต่ละรัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศมีนโยบายต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมไม่ต่อเนื่องกัน เช่น นโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเตรียมความพร้อมประเทศไทยในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (AEC) มีการเวนคืนที่ดินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบสาธารณูปโภค ทางคมนาคมขนส่ง เตรียมพื้นที่รองรับการลงทุนของเอกชนในนิคมอุตสาหกรรม แต่พื้นที่ดังกล่าวถูกทิ้งร้าง ไม่มีภาคเอกชนมาลงทุนให้เต็มศักยภาพของพื้นที่ ทำให้ประชาชนสูญเสียที่ดิน ขาดโอกาสในการพัฒนาพื้นที่และมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิต นอกจากนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ทำประโยชน์ในที่ดินของรัฐ จึงได้ค่าชดเชยที่เป็นค่าขนย้ายทรัพย์สิน แต่ไม่ได้ค่าทดแทนจากการเวนคืนที่ดินตามราคาซื้อขาย ณ ท้องตลาด รวมทั้งทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกทำลาย และได้รับผลกระทบจากมลพิษ เนื่องจากการจัดการมลพิษจากอุตสาหกรรมที่ล่าช้าและขาดประสิทธิภาพ ดังนั้นรัฐบาลควรจะพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่เดิมที่รัฐบาลในอดีตดำเนินการเตรียมพื้นที่แล้ว แทนการเริ่มสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ดังเช่นการพัฒนาโครงการแลนด์บริดจ์ภาคใต้ตอนบน

          ทั้งนี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีข้อห่วงกังวลต่อโครงการแลนด์บริดจ์จังหวัดชุมพร-ระนอง ถึงความคุ้มค่าของการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและความจำเป็นต้องมีโครงการแลนด์บริดจ์ รวมถึงพื้นที่ตั้งมีความเหมาะสมหรือไม่ เนื่องจากท่าเรือที่ผ่านช่องแคบมะละกายังมีศักยภาพในการให้บริการมากกว่า และสภาพพื้นที่ของจังหวัดชุมพร และระนองมีศักยภาพของการทำการเกษตร ได้แก่ ปาล์มน้ำมัน ยางพารา การทำสวนทุเรียน และผลไม้ รวมถึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ อีกทั้งจังหวัดระนองยังเป็นพื้นที่สงวนชีวมณฑล เป็นพื้นที่ป่าชายเลนที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย และเป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำ ที่จะมีการมีขอขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่พิเศษที่องค์การยูเนสโก (UNESCO) รับรอง สอดคล้องกับการศึกษาของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) สรุปได้ว่าการดำเนินการโครงการแลนด์บริดจ์ มีต้นทุนสูงที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับทางเลือกของการพัฒนาตามศักยภาพของพื้นที่ ได้แก่ การพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตร ประมง และการท่องเที่ยว และสอดคล้องกับแผนพัฒนาของทั้ง 2 จังหวัด นอกจากนี้ การจัดรับฟังความคิดเห็นต่อโครงการแลนด์บริดจ์แยกเป็นรายโครงการ ทำให้ประชาชนในพื้นที่ไม่เข้าใจในภาพรวมของโครงการ และเข้าถึงข้อมูลของทุกโครงการไม่ทั่วถึง ซึ่งส่งผลต่อการขาดการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจต่อสิทธิในการพัฒนา อันเป็นการกระทำหรือละเลยการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน จึงเสนอให้ สศช. เป็นเจ้าภาพหลักในการจัดฟังความเห็นจากประชาชนในพื้นที่ โดยนำรายงานการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA) มาเป็นข้อมูลในการจัดรับฟังความเห็น

          ทั้งนี้ก่อนที่จะเข้าร่วมเป็นวิทยากรในวันดังกล่าว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้ร่วมลงพื้นที่หมู่บ้านชาวมอแกนบนเกาะพยาม เพื่อสอบถามถึงข้อมูลการรับรู้ต่อโครงการแลนด์บริดจ์ ซึ่งตัวแทนชาวมอแกนกล่าวว่า ทะเลเป็นพื้นที่ทำมาหากิน เปรียบเสมือนบ้านและชีวิตของชาวมอแกน 45 ครัวเรือน ดำรงชีวิตได้จากการทำประมงที่มีทรัพยากรสัตว์น้ำที่อุดมสมบูรณ์ บริเวณพื้นที่ที่เป็นทางเดินของเรือ ซึ่งจะมีการสร้างท่าเรือบริเวณแหลมอ่าวอ่าง ทั้งนี้ปัจจุบันหลายคนยังไม่มีสถานะบุคคล ไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการใด ๆ จากรัฐ หากมีการสร้างโครงการอาจจะส่งผลทบต่อธรรมชาติในพื้นที่ ไม่มีแหล่งทำมาหากินในพื้นที่ได้

เลื่อนขึ้นด้านบน