เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2568 เวลา 9.00 น. นายวสันต์  ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พร้อมด้วยนางสาวหรรษา  หอมหวล เลขาธิการ กสม. นางสาวทิพย์ธีรา  รัมมณีย์ ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย และเจ้าหน้าที่สำนักงาน กสม. เข้าร่วมการเสวนา "สรุปผลการจัดกิจกรรมและการจัดทำร่างข้อมติสมัชชาสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2568 ประเด็นสิทธิผู้สูงอายุ" โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน สถาบันวิชาการ สถาบันการศึกษา และองค์การระหว่างประเทศ ประกอบด้วย กรมกิจการผู้สูงอายุ กรมอนามัย กรมองค์การระหว่างประเทศ สำนักงานประกันสังคม สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนการออมแห่งชาติ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ศูนย์พัฒนาธุรกิจและการดูแลสังคมสูงอายุ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาลัยประชากรศาสตร์ ศูนย์วิจัยสังคมสูงอายุ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ คณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ สภาผู้แทนราษฎร มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.) มูลนิธิพัฒนางานผู้สูงอายุ (มพส.) สภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย YWCA of Bangkok บริษัท บุญมีฤทธิ์ มีเดีย จำกัด (มนุษย์ต่างวัย) และสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) เข้าร่วมเสวนา ณ ห้องประชุม Erawan I-II โรงแรมคอร์ทยาร์ด บาย แมริออท และผ่านระบบ Zoom Meeting 

          ทั้งนี้ การเสวนาดังกล่าวได้แบ่งเป็น 2 ช่วง เพื่อวิพากษ์และเติมเต็มร่างข้อมติข้างต้น ดังนี้

          ช่วงที่ 1 "การกำหนดมาตรการหรือนโยบายอันเกี่ยวเนื่องกับสิทธิในการมีงานทำของผู้สูงอายุ" โดยมีวิทยากร ได้แก่ นพ.ภูษิต ประคองสาย เลขานุการ มส.ผส. ดร. สราวุธ ไพฑูรย์พงษ์ นักวิชาการอาวุโส TDRI และ รศ.ดร. ทีปกร จิร์ฐิติกุลชัย อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มุ่งหารือประเด็นการจ้างงานผู้สูงอายุ การกำหนดมาตรการหรือนโยบายเกี่ยวกับสิทธิดังกล่าวของผู้สูงอายุในระบบและเพื่อให้ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน รวมทั้งส่งเสริมนโยบายอื่น ๆ ที่เอื้อต่อการจ้างงานผู้สูงอายุ อาทิ การขยายอายุการทำงานตามกฎหมาย การเปลี่ยนแปลงอายุเกษียณแบบค่อยเป็นค่อยไป การสนับสนุนองค์ความรู้และการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ การส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (lifelong learning) การพัฒนาเพื่อยกระดับทักษะที่มีให้เชี่ยวชาญยิ่งขึ้น (up-skill) และการเพิ่มพูนทักษะใหม่ (re-skill) การจ้างผู้สูงอายุเข้ามาทำงานใหม่ (re-employment) ด้วยเงื่อนไขการทำงานที่ต่างไปจากเดิม ซึ่งสอดคล้องกับลักษณะเฉพาะหรือข้อจำกัดของผู้สูงอายุ การสร้างระบบนิเวศและปรับปรุงสภาพแวดล้อมการทำงานให้เป็นมิตรและเอื้อต่อผู้สูงอายุ การปฏิรูปปรับปรุงเชิงโครงสร้าง (structural reform) ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะระบบจัดเก็บภาษีและการออม รวมถึงแนวทางการขจัดการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งอายุ (Ageism) ทั้งในด้านกฎหมายและนโยบาย ตลอดจนหารือบทบาทของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งมีประโยชน์ต่อการอำนวยความสะดวกและแบ่งเบาภาระการทำงานของมนุษย์ และข้อห่วงกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของ AI ต่อการจ้างงาน โดยเฉพาะการจ้างงานผู้สูงอายุในปัจจุบัน

          ช่วงที่ 2 "การกำหนดมาตรการหรือนโยบายเกี่ยวกับหลักประกันรายได้" และ "การเข้าร่วมกระบวนการร่างอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิผู้สูงอายุของสหประชาชาติ" โดยมีวิทยากร ได้แก่ รศ.ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี อาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนายสว่าง แก้วกันทา ผู้อำนวยการ มพส. มุ่งหารือการจัดให้มีกฎหมายด้านหลักประกันรายได้ โดยเฉพาะบำนาญแห่งชาติ และการทบทวนแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับกองทุนต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการออมของผู้สูงอายุให้สอดคล้องกับทิศทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น กองทุนประกันสังคม กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนการออมแห่งชาติ ฯลฯ รวมทั้งส่งเสริมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของภาคเอกชน โดยพิจารณาตัวอย่างของประเทศอื่น ๆ นอกจากนี้ ยังร่วมกันหารือการผลักดันให้รัฐบาลเข้าร่วมคณะทำงานระหว่างรัฐบาลแบบเปิดว่าด้วยการจัดทำตราสารระหว่างประเทศที่มีผลทางกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของผู้สูงอายุ

          ทั้งนี้ สำนักงาน กสม. จะรวบรวมข้อมูล ความเห็น และข้อเสนอแนะที่ได้รับจากวิทยากรและผู้เข้าร่วมเสวนาไปศึกษาและจัดทำข้อมติสมัชชาสิทธิมนุษยชน ประเด็นสิทธิผู้สูงอายุ เพื่อเสนอแนะไปยังคณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้สามารถยกระดับมาตรการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนของผู้สูงอายุให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและพึ่งพาตนเองได้อย่างมีศักดิ์ศรีต่อไป