กสม. ปิติกาญจน์ ร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และรับฟังแนวปฏิบัติที่ดี ประเด็นปัญหา ตลอดจนข้อท้าทายการดำเนินการตามหลักการ UNGPs และมาตรฐานสากล จากกลุ่มธุรกิจหรืออุตสาหกรรมขนาดใหญ่

21/08/2568 166

                เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2568 เวลา 13.30 น. ที่โรงแรม เดอะ สุโกศล กรุงเทพมหานคร นางสาวปิติกาญจน์  สิทธิเดช กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พร้อมด้วยนางรัตติกุล  จันทร์สุริยา ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ นายภาณุวัฒน์  ทองสุข และนายจุมพล  ขุนอ่อน รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตลอดจนเจ้าหน้าที่สำนักงาน กสม. ร่วมการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และรับฟังแนวปฏิบัติที่ดี ประเด็นปัญหาและข้อท้าทายการดำเนินการตามหลักการชี้แนะแห่งสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (UN Guiding Principles on Business and Human Rights: UNGPs) และมาตรฐานสากลจากกลุ่มธุรกิจหรืออุตสาหกรรมขนาดใหญ่ โดยมีผู้แทนองค์กรภาคธุรกิจ องค์กรเอกชน ภาควิชาการ รวมถึงผู้สนใจเข้าร่วมประชุมในห้องประชุมและผ่านระบบออนไลน์กว่า 80 คน

                กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้กล่าวถึงกรอบแนวคิดเรื่องธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนที่ไม่ได้เป็นเพียงหลักการ แต่เป็นประเด็นสำคัญที่ภาคธุรกิจจำเป็นต้องคำนึงถึงในการดำเนินงาน เนื่องจากการดำเนินกิจกรรมใด ๆ ในทางธุรกิจมีโอกาสส่งผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนทั้งสิ้น ซึ่งส่วนหนึ่งสะท้อนผ่านข้อร้องเรียนที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับ อาทิ การใช้แรงงานบังคับ การเลือกปฏิบัติ การข่มขู่คุกคามนักปกป้องสิทธิมนุษยชน หรือการดำเนินโครงการพัฒนาที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ การดำเนินธุรกิจที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ความไม่แน่นอน การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมถึงแรงกดดันจากพันธมิตรทางธุรกิจ เป็นอีกข้อท้าทายหนึ่งที่ภาคธุรกิจต้องเตรียมพร้อมรับมือและดำเนินงานอย่างมีความรับผิดชอบมากขึ้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ภาคธุรกิจต้องประเมินและจัดการความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชน (Human Rights Due Diligence: HRDD) อย่างรอบด้านตลอดห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งการประชุมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ กสม. จัดขึ้น เพื่อรับฟังแนวทางการดำเนินงานที่ดี ปัญหาอุปสรรคที่พบ ตลอดจนความคิดเห็น และข้อเสนอแนะจากองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ เพื่อประกอบการขับเคลื่อนประเด็นธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องให้เกิดผล ผ่านข้อมติในเวทีสมัชชาสิทธิมนุษยชนประจำปี 2568 ที่มีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 18 ธันวาคม 2568 นี้

                จากนั้น ผศ.เสาวณีย์ แก้วจุลกาญจน์ วิทยากร ได้นำเสนอภาพรวมและพัฒนาการของประเด็นธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย โดยเฉพาะความคืบหน้าของการจัดทำร่างกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการดำเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบ ซึ่งเป็นกฎหมายที่มุ่งหมายให้ทุกกลุ่มธุรกิจและทุกขนาดมีหน้าที่หรือให้ความร่วมมือในการดำเนินการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้าน มีความรับผิดชอบและเคารพสิทธิมนุษยชน ที่สอดคล้องกับมาตรฐานระหว่างประเทศ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาขอบเขต กลไกการบังคับใช้ และรับฟังความเห็นรวมทั้งข้อห่วงกังวลจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยต้องคำนึงถึงความพร้อมของภาคธุรกิจไทย ความไม่ซ้ำซ้อนกับกฎหมายที่มีอยู่ และการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย

                กิจกรรมต่อมา เป็นการนำเสนอแนวปฏิบัติที่ดีและตัวอย่างการดำเนินธุรกิจที่เคารพสิทธิมนุษยชนจากผู้แทน 2 บริษัทชั้นนำ ได้แก่ ดร.ปรมินทร  วงศ์ไตรรัตน์ ผู้จัดการฝ่ายสิทธิมนุษยชน บริษัท มาร์ส เพ็ทแคร์ (ประเทศไทย) จำกัด และ ดร.วาทิต  ประสมทรัพย์ รักษาการผู้อำนวยการฝ่ายยุทธศาสตร์และความสัมพันธ์ผู้มีส่วนได้เสีย บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) โดยมี รศ.ดร.ณัฐวุฒิ  พิมพา ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน มหาวิทยาลัยมหิดล ดำเนินการแลกเปลี่ยน ซึ่งผู้แทนทั้งสององค์กรต่างเน้นย้ำถึงความจำเป็นของการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานหลักการสิทธิมนุษยชน เพราะสิทธิมนุษยชนเป็นหัวใจหลักของการทำธุรกิจที่ยั่งยืน และโดยที่ความเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกกระบวนการทำงาน ดังนั้น ทุกบริษัทจึงควรมีหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี มีหน้าที่ต้องรู้และจัดการความเสี่ยงของตนได้ มีการรับฟังและสร้างความเข้าใจกับชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนสร้างกลไกการรับเรื่องร้องเรียนที่มีประสิทธิภาพ ได้รับความเชื่อถือและมั่นใจว่าจะมีการแก้ไขปัญหาจากผู้บริหารที่มองเห็นภาพรวมของธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งการทำกระบวนการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้านจะเป็นใบเบิกทางให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างแท้จริง

                ในช่วงต่อมาเป็นกิจกรรมแบ่งกลุ่มแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ซึ่งผู้เข้าร่วมประชุมทั้งในห้องประชุมและผ่านระบบออนไลน์ได้ให้ข้อมูลความเห็นที่หลากหลายเกี่ยวกับองค์กรของตนกับการดำเนินกระบวนการตรวจสอบด้านสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน และร่วมกันสะท้อนปัญหาอุปสรรคและความท้าทายสำคัญจากการดำเนินการดังกล่าว รวมถึงความคาดหวังต่อ กสม. และหน่วยงานภาครัฐที่มีส่วนสำคัญในการผลักดันและส่งเสริมศักยภาพของภาคธุรกิจในห่วงโซ่คุณค่า โดย ผศ.เสาวณีย์ แก้วจุลกาญจน์ วิทยากร และคุณเพ็ญพิชชา จรรย์โกมล เจ้าหน้าที่ด้านธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน UN Global Compact Network Thailand เป็นผู้ดำเนินกระบวนการและสรุปผล

                จากนั้น คุณสฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์ และมีความเชี่ยวชาญด้านการส่งเสริมธุรกิจที่ยั่งยืนและเคารพสิทธิมนุษยชน ได้วิเคราะห์ถึงปัญหา ข้อท้าทาย และข้อเสนอแนะในการส่งเสริมให้กลุ่มธุรกิจหรืออุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ประกอบธุรกิจโดยคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษชนเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน โดยเน้นย้ำให้ภาคธุรกิจต้องระบุความเสี่ยงจากการดำเนินงานให้ชัดเจนมากขึ้น และให้ความสำคัญกับการรับฟังผู้มีส่วนได้เสีย โดยบริษัทขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมมากกว่าควรเป็นต้นแบบแบ่งปันองค์ความรู้ให้กับบริษัทขนาดเล็กให้มากยิ่งขึ้น ขณะที่ภาครัฐควรให้การสนับสนุนในรูปแบบอื่นนอกเหนือจากการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ผ่านมาตรการต่าง ๆ ที่ยั่งยืนมากกว่า เพื่อสร้างแรงจูงใจและอุดช่องว่างที่เกิดขึ้นจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของภาคเอกชนด้วย และโดยที่ กสม. มีฐานข้อมูลเรื่องร้องเรียนและทำงานกับภาคีเครือข่ายหลากหลาย กสม. จึงอาจเป็นผู้เชื่อมโยงการทำงานและความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนกับภาคประชาสังคมได้ ในโอกาสนี้ คุณสฤณีทิ้งท้ายว่า ประเด็นธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนไม่ใช่เรื่องใหม่ ตั้งต้นได้ด้วยการใช้มิติสิทธิมนุษยชนมองและจัดการข้อมูลที่มีหรือทำอยู่แล้วนั่นเอง 

                ช่วงท้ายของการประชุม ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวขอบคุณวิทยากรและผู้เข้าร่วมประชุมที่ได้ให้ข้อมูล ทั้งยังแลกเปลี่ยนการดำเนินงาน ข้อกังวล ข้อท้าทาย ความเห็น รวมถึงข้อเสนอต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์สำหรับ กสม. และผู้เกี่ยวข้อง ในการขับเคลื่อนให้ทุกภาคส่วนเห็นความสำคัญของสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ โดยหลังจากกิจกรรมในครั้งนี้ กสม. จะรับฟังข้อมูลจากภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานกำกับดูแลการประกอบธุรกิจด้วย เพื่อประมวลข้อมูลอย่างรอบด้านไปสู่ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย ที่จะขับเคลื่อนผ่านเวทีสมัชชาสิทธิมนุษยชนประจำปี 2568 ต่อไป

เลื่อนขึ้นด้านบน