กสม. แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 27/2568 กสม. ชี้อดีตผู้บริหารบริษัทใหญ่ได้รับการรักษาพยาบาลและการปฏิบัติที่ดีกว่าผู้ต้องขังรายอื่นเป็นการเลือกปฏิบัติ แนะ ตร. – ราชทัณฑ์สอบข้อเท็จจริงดำเนินการตามกฎหมาย - ตรวจสอบกรณีพิพาทการออก น.ส.ล. ที่สาธารณประโยชน์ จ.สุราษฎร์ธานี ทับที่ทำกินชุมชนไทดำ แนะหน่วยงานเร่งรังวัดสอบเขตที่ดินและไม่บังคับขับไล่ชุมชนจนกว่าจะได้ข้อยุติ

15/08/2568 390

                วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม 2568 เวลา 10.30 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์  ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และนายจุมพล  ขุนอ่อน รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ครั้งที่ 27/2568 โดยมีวาระสำคัญดังนี้ 

1. กสม. ชี้กรณีอดีตผู้บริหารบริษัทใหญ่ได้รับการรักษาพยาบาลและการปฏิบัติที่ดีกว่าผู้ต้องขังรายอื่น เป็นการเลือกปฏิบัติ

แนะ ตร. – ราชทัณฑ์สอบข้อเท็จจริงดำเนินการตามกฎหมาย

            นายวสันต์  ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากกลุ่มผู้เสียหายจากหุ้นกู้บริษัทสตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เมื่อเดือนสิงหาคม 2567 ระบุว่า ผู้ร้องเห็นว่ามีการเลือกปฏิบัติอันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้ต้องขัง จากกรณีที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร (ผู้ถูกร้องที่ 1) ได้ส่งตัวอดีตผู้บริหารและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ ซึ่งเป็นจำเลยในคดีทุจริตและฉ้อโกง ไปรักษาตัวกับทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ (ผู้ถูกร้องที่ 2) โดยให้เหตุผลว่าเป็นผู้ป่วยกลุ่มเปราะบาง 608 จากที่ได้ฉีดสีเพื่อตรวจหาโรคหัวใจและมีประวัติการรักษาโรคซึมเศร้า ต่อมาผู้ถูกร้องที่ 2 ตรวจพบก้อนเนื้อบริเวณอัณฑะ จึงได้ส่งตัวอดีตผู้บริหารไปรักษาตัวกับโรงพยาบาลตำรวจ (ผู้ถูกร้องที่ 4) โดยพักรักษาที่หอผู้ป่วยพิเศษ ชั้น 14 เป็นระยะเวลาเกือบ 30 วัน ก่อนที่กรมราชทัณฑ์ (ผู้ถูกร้องที่ 3) จะประสานงานกับผู้ถูกร้องที่ 4 เพื่อรับตัวกลับมารักษาตัวกับผู้ถูกร้องที่ 2 อย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้น ขณะที่อดีตผู้บริหารถูกควบคุมตัวไปศาลอาญา ผู้ร้องสังเกตเห็นว่าถูกพันธนาการน้อยกว่าผู้ต้องขังรายอื่น จึงขอให้ตรวจสอบ

            กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 บัญญัติว่าบุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลไม่ว่าด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องอายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม หรือเหตุอื่นใดจะกระทำมิได้            

            กรณีตามคำร้องมีประเด็นที่ต้องพิจารณาแยกเป็น 2 ประเด็น ประเด็นแรก ผู้ถูกร้องที่ 1 – 4 ได้ให้การดูแลรักษาอดีตผู้บริหารรายดังกล่าวดีกว่าผู้ต้องขังรายอื่น ซึ่งถือเป็นการเลือกปฏิบัติ หรือไม่ จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2567 เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร (ผู้ถูกร้องที่ 1) รับตัวอดีตผู้บริหารเข้ามาและตรวจคัดกรองเบื้องต้นพบว่า มีโรคหัวใจและไขมันในเลือดสูง และในวันเดียวกันผู้ต้องขังมีอาการเจ็บหน้าอก เรือนจำฯ จึงส่งตัวไปยังทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ (ผู้ถูกร้องที่ 2) โดยแพทย์ให้สังเกตอาการที่สถานพยาบาลเรือนจำก่อน ต่อมาได้ประเมินอาการพบปัญหาทางสภาพจิตรุนแรงจึงรับไว้เพื่อสังเกตอาการ หลังจากนั้นพบว่าผู้ต้องขังอดีตผู้บริหารรายดังกล่าวมีอาการปวดอัณฑะและจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด แต่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์มีข้อจำกัดในการวินิจฉัยอย่างละเอียดเพื่อทำการผ่าตัดเฉพาะก้อนเนื้อออกและไม่มีวิสัญญีแพทย์ จึงต้องส่งตัวผู้ต้องขังไปรับการรักษากับโรงพยาบาลตำรวจ (ผู้ถูกร้องที่ 4) ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูงกว่า กสม. เห็นว่าการดำเนินการในชั้นนี้เป็นการคุ้มครองสิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุขต่อผู้ต้องขังและสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายของผู้ต้องขังตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ตามสมควรแล้ว จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่ามีการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

            เมื่อพิจารณาต่อไปในห้วงเวลาที่โรงพยาบาลตำรวจ (ผู้ถูกร้องที่ 4) รับตัวอดีตผู้บริหาร ไว้ดูแลรักษาและให้พักรักษาตัวที่ห้องพิเศษชั้น 14 อาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา ตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน 2567 รวมระยะเวลา 29 วัน โดยไม่ได้จำหน่ายตัวภายหลังที่มีการผ่าตัดเสร็จสิ้น เห็นว่าเนื่องจากแผลผ่าตัดยังมีเลือดไหลและติดเชื้อ ต้องมีการเปิดแผลเพื่อทำแผลและระบายเลือด ถือเป็นเหตุอันสมควรที่ผู้ต้องขังอดีตผู้บริหารรายดังกล่าวจะได้รับการดูแลรักษาจากผู้ถูกร้องที่ 4 ตามหลักเกณฑ์และมาตรฐานวิชาชีพแพทย์ อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณากฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 และระเบียบโรงพยาบาลตำรวจว่าด้วยการรับตัวผู้ป่วยคดีที่เป็นผู้ต้องหา ผู้ต้องกัก ผู้ต้องขัง หรือนักโทษเข้ารับการรักษาพยาบาลเป็นผู้ป่วยของโรงพยาบาลตำรวจ พ.ศ. 2557 ซึ่งวางหลักไว้ว่าผู้ต้องขังที่ได้รับอนุญาตให้ออกไปรักษาตัวนอกเรือนจำจะต้องใช้สิทธิของผู้ต้องขังตามที่ทางราชการจัดให้และห้ามเข้าอยู่ในห้องพักพิเศษแยกจากผู้ป่วยทั่วไป เว้นแต่ต้องพักรักษาตัวในห้องควบคุมพิเศษตามที่สถานที่รักษาผู้ต้องขังจัดให้ และหากแพทย์มีความเห็นให้ผู้ป่วยคดีเข้ารับการรักษาที่ผู้ถูกร้องที่ 4 แล้ว โดยหลักให้รับตัวผู้ป่วยคดีไว้ที่ห้องผู้ป่วยที่โรงพยาบาลตำรวจจัดไว้สำหรับผู้ต้องหา ผู้ต้องขัง หรือนักโทษ เว้นแต่นายแพทย์ใหญ่จะพิจารณาอนุญาตเป็นอย่างอื่น

            การที่อดีตผู้บริหารฯ ได้เข้าพักรักษาที่ห้องพิเศษแยกจากผู้ป่วยอื่นแทนที่จะเป็นห้องผู้ป่วยคดี โดยโรงพยาบาลตำรวจชี้แจงว่าเนื่องจากอดีตผู้บริหารมีโรคประจำตัวหลายโรค มีความสามารถที่จะชำระค่าห้องพักพิเศษได้ รวมถึงมีความจำเป็นต้องเปิดแผลซึ่งต้องมีความเป็นส่วนตัว แต่จากการตรวจสอบสภาพภายในห้องผู้ป่วยคดีพบว่า มีการติดตั้งฉากม่านกั้นสำหรับคุ้มครองสิทธิในความเป็นส่วนตัวของผู้ป่วยกรณีที่บุคลากรทางการแพทย์จะต้องทำหัตถการอย่างเหมาะสมแล้ว ข้อชี้แจงของโรงพยาบาลตำรวจ (ผู้ถูกร้องที่ 4) จึงไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและไม่เป็นเหตุผลที่เพียงพอต่อการปฏิบัติกับอดีตผู้บริหารให้แตกต่างจากผู้ต้องขังป่วยรายอื่น การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม นอกจากนี้ ยังไม่ปรากฏว่าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร (ผู้ถูกร้องที่ 1) มีการกำกับดูแลการใช้สิทธิในการรักษาพยาบาลให้เป็นไปตามกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 ที่ห้ามไม่ให้ผู้ป่วยคดีเข้ารักษาในห้องพิเศษแยกจากผู้ป่วยทั่วไป จึงรับฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 และผู้ถูกร้องที่ 4 กระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

            ต่อมา หลังจากผู้ถูกร้องที่ 4 ได้จำหน่ายตัวผู้ต้องขังอดีตผู้บริหารกลับมารับการรักษาต่อกับทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ (ผู้ถูกร้องที่ 2) เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2567 โดยแพทย์ของผู้ถูกร้องที่ 4 มีความเห็นให้ดูแลต่อเนื่องภายหลังจากการผ่าตัดซึ่งจะต้องทำแผลและให้ยาปฏิชีวนะ รวมถึงไปติดตามอาการตามนัดของแพทย์หลายครั้ง โดยแพทย์ของผู้ถูกร้องที่ 4 ได้สิ้นสุดการรักษาเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2567 แต่เมื่อพ้นระยะเวลาดังกล่าวกลับปรากฏว่าอดีตผู้บริหารยังคงอยู่ภายใต้การดูแลรักษาของผู้ถูกร้องที่ 2 มาโดยตลอด รวมระยะเวลากว่า 6 เดือน กว่าผู้ถูกร้องที่ 2 จะได้จำหน่ายตัวอดีตผู้บริหารกลับไปควบคุมที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครตามเดิม ซึ่งเห็นว่าเป็นระยะเวลาที่นานเกินสมควร เนื่องจากไม่ปรากฏอาการเจ็บป่วยอื่นใดที่เป็นข้อบ่งชี้สำคัญให้อดีตผู้บริหารต้องอยู่รักษากับผู้ถูกร้องที่ 2 ต่อเนื่อง และการรักษาอาการทางจิตกับแพทย์ของผู้ถูกร้องที่ 2 ก็เป็นไปในฐานะผู้ป่วยนอกมาโดยตลอด กรณีนี้จึงมีเหตุอันควรเชื่อว่า ผู้ถูกร้องที่ 2 เลือกปฏิบัติต่อผู้ต้องขังอดีตผู้บริหารให้ได้รับประโยชน์มากกว่าผู้ต้องขังที่ป่วยรายอื่น จึงรับฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องที่ 2 กระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

            ประเด็นที่สอง กรณีร้องเรียนว่าผู้ต้องขังอดีตผู้บริหารถูกควบคุมตัวไปศาลอาญา โดยไม่มีการใส่เครื่องพันธนาการที่ข้อเท้า จากการตรวจสอบปรากฏว่า อดีตผู้บริหารรายนี้ถูกควบคุมตัวไปดำเนินกระบวนการพิจารณาคดีในชั้นศาล 5 ครั้ง โดยทุกครั้งมีการใส่กุญแจเท้า ยกเว้นเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2567 ที่อดีตผู้บริหารเพิ่งได้รับการผ่าตัดก้อนเนื้อที่อัณฑะ ทำให้ไม่สามารถเดินได้อย่างสะดวก เรือนจำฯ จึงใส่กุญแจมือแทน จึงเป็นกรณีที่เรือนจำฯ ได้กระทำการตามความเหมาะสมในการควบคุมตัวผู้ต้องขังเมื่อต้องออกไปนอกเรือนจำโดยปราศจากการเลือกปฏิบัติ ประเด็นนี้จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่ามีการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

            ด้วยเหตุผลดังกล่าว กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2568 จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะไปยังกรมราชทัณฑ์ (ผู้ถูกร้องที่ 3) ในฐานะหน่วยงานต้นสังกัดของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร (ผู้ถูกร้องที่ 1) และทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ (ผู้ถูกร้องที่ 2) รวมทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ในฐานะหน่วยงานต้นสังกัดของโรงพยาบาลตำรวจ (ผู้ถูกร้องที่ 4) และคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (ก.ร.ตร.) ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยใช้รายงานผลการตรวจสอบฉบับนี้เป็นข้อมูลประกอบด้วย พร้อมทั้งกำหนดมาตรการเพื่อมิให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนในลักษณะนี้อีก นอกจากนี้ ให้ผู้ถูกร้องที่ 4 จัดหาสถานที่เพื่อใช้เป็นห้องรักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยคดีให้เพียงพอ และสำหรับผู้ป่วยคดีที่เป็นเพศหญิงเป็นการเฉพาะ เพื่อให้เกิดความสะดวกในการรักษาพยาบาล และการควบคุมผู้ต้องขังป่วยของเจ้าพนักงานเรือนจำให้เป็นไปตามอัตราที่กฎหมายกำหนด

 

2. กสม. ตรวจสอบกรณีพิพาทการออก น.ส.ล. ที่สาธารณประโยชน์ทุ่งปากขอตอนใต้ จ.สุราษฎร์ธานี ทับที่ทำกินชุมชนไทดำ

แนะหน่วยงานเร่งรังวัดสอบเขตที่ดินและไม่ขับไล่ชุมชนจนกว่าจะได้ข้อยุติ

            นายจุมพล  ขุนอ่อน รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากการออกหน่วยคลินิกสิทธิมนุษยชน ของ กสม. เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 ระบุว่า ผู้ร้องเป็นตัวแทนชุมชนไทดำหมู่ที่ 4 (บ้านใต้ท่า) ตำบลทรัพย์ทวี อำเภอบ้านนาเดิม จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้รับความเดือดร้อนจากการที่ผู้ถูกร้องทั้งสาม ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี อำเภอบ้านนาเดิม และองค์การบริหารส่วนตำบลทรัพย์ทวี (อบต. ทรัพย์ทวี) ไม่รังวัดสอบเขตเพื่อเพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (น.ส.ล.) แปลงทุ่งปากขอตอนใต้ จำนวน 2 ฉบับ ซึ่งออกทับที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน อีกทั้งไม่จัดให้มีสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน (ถนน) แก่ชุมชนไทดำ จึงขอให้ตรวจสอบ

            กสม. ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นว่า ที่สาธารณประโยชน์ทุ่งปากขอตอนใต้ (พื้นที่พิพาท) มีการออก น.ส.ล. 2 ฉบับ ฉบับแรกออกเมื่อเดือนมกราคม 2547 เนื้อที่ราว 2,444 ไร่ และฉบับที่สองออกเมื่อเดือนพฤษภาคม 2558 เนื้อที่ราว 1,240 ไร่ เมื่อปี 2564 จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ น.ส.ล. ทั้งสองฉบับทั้งระดับจังหวัดและระดับอำเภอเพื่อให้ทราบว่าที่สาธารณประโยชน์ทุ่งปากขอตอนใต้ทับที่ทำกินของชุมชนไทดำหมู่ที่ 4 ตำบลทรัพย์ทวี หรือไม่ โดยมีตัวแทนของชุมชนไทดำเข้าร่วมเป็นคณะทำงาน กสม. เห็นว่าผู้ถูกร้องทั้งสามได้พยายามแก้ไขปัญหามาโดยตลอด โดยได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหากรณีชุมชนไทดำ หมู่ที่ 1 และหมู่ที่ 4 ตำบลทรัพย์ทวี และได้ยื่นคำขอรังวัดสอบเขตที่สาธารณประโยชน์ตาม น.ส.ล. ทั้งสองฉบับต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานี สาขาบ้านนาสารแล้ว แต่ยังไม่สามารถหาข้อยุติได้ เนื่องจากข้อขัดข้องเรื่องสภาพพื้นที่ที่เปลี่ยนแปลงไปและปัญหาอุทกภัยทำให้หลักหมุดหายไปบางส่วน ในชั้นนี้ จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่าผู้ถูกร้องทั้งสามกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

            ส่วนประเด็นการจัดให้มีถนนแก่ชุมชนไทดำนั้น จากการตรวจสอบปรากฏว่า อบต. ทรัพย์ทวี ผู้ถูกร้องที่ 3 ได้ดำเนินการปรับปรุงถนนให้แก่ชุมชนไทดำ หมู่ที่ 4 มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2566 โดยขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในเขตป่าไม้ และขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 เพื่อก่อสร้างถนนคอนกรีตจากทางจังหวัดสุราษฎร์ธานี อีกทั้งยังได้เสนอโครงการขอสนับสนุนงบประมาณจากอำเภอบ้านนาเดิมเพื่อซ่อมแซมถนนบริเวณหมู่ที่ 4 ตำบลทรัพย์ทวี ที่ชำรุดเนื่องจากน้ำท่วมขังด้วย ในชั้นนี้ จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่าผู้ถูกร้องทั้งสามกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนเช่นเดียวกัน

            อย่างไรก็ตาม กสม. เห็นว่า แม้ว่าผู้ถูกร้องทั้งสามจะมีหน้าที่ดูแลรักษา และคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ตาม น.ส.ล. และศาลปกครองนครศรีธรรมราชมีคำพิพากษาเมื่อเดือนมิถุนายน 2567 ยกฟ้องหน่วยงานของรัฐตามกรณีที่ประชาชนไทดำ 8 ราย ยื่นฟ้องให้ชดใช้ค่าเสียหายจากถูกเข้าทำลายพืชผลซึ่งปลูกอยู่ในที่สาธารณประโยชน์ทุ่งปากขอ เนื่องจากที่ดินดังกล่าวเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันและยังไม่มีการออกโฉนดชุมชน แต่ในคำพิพากษาดังกล่าวศาลปกครองนครศรีธรรมราชมิได้วินิจฉัยในประเด็นเนื้อหาว่าชุมชนไทดำทำประโยชน์ในพื้นที่พิพาทมาก่อนการเป็นที่ดินของรัฐครั้งแรกหรือไม่ อีกทั้งกรณีนี้ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาที่ดินสาธารณประโยชน์ ที่ดินเอกชนปล่อยทิ้งร้าง และปัญหาที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย กสม. จึงเห็นว่า หากผู้ถูกร้องทั้งสามจะดำเนินการขับไล่ชุมชนไทดำให้ออกจากพื้นที่อาจเป็นการสุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิในการมีชีวิต สิทธิในความปลอดภัยของบุคคล สิทธิในการไม่ถูกแทรกแซงความเป็นส่วนตัว ครอบครัว และ เคหสถาน หรือสิทธิในการครอบครองอย่างสงบของผู้ร้องและชุมชนไทดำ อีกทั้งการดำเนินการแก้ไขปัญหาที่ล่าช้าอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในการถือครองที่ดิน (secure tenure) และการเข้าถึงสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานได้อย่างเพียงพอซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการดำรงชีพที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของประชาชน ตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR) ที่ประเทศไทยเป็นภาคีและมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตาม

            ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2568 จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนต่อจังหวัดสุราษฎร์ธานี (ผู้ถูกร้องที่ 1) อำเภอบ้านนาเดิม (ผู้ถูกร้องที่ 2) และ อบต. ทรัพย์ทวี (ผู้ถูกร้องที่ 3) รวมทั้งสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 11 (สุราษฎร์ธานี) เพื่อดำเนินการ สรุปได้ดังนี้

            ให้ผู้ถูกร้องที่ 2 และที่ 3 เร่งรัดการนำชี้แนวเขตเพื่อรังวัดสอบเขตที่ดินตาม น.ส.ล. ทั้งสองฉบับที่เป็นข้อพิพาท และเสนอผลการรังวัดพื้นที่ดังกล่าวให้คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาที่ดินสาธารณประโยชน์ฯ กระทรวงมหาดไทยพิจารณาโดยเร็ว

            ให้ผู้ถูกร้องที่ 1 กำกับดูแลไม่ให้ผู้ถูกร้องที่ 2 และที่ 3 ดำเนินการบังคับขับไล่ชุมชนไทดำ หมู่ที่ 1 และ หมู่ที่ 4 ตำบลทรัพย์ทวี ออกจากพื้นที่จนกว่าคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาที่ดินสาธารณประโยชน์ฯ กระทรวงมหาดไทยจะพิจารณาแก้ไขปัญหากรณีดังกล่าวแล้วเสร็จ และให้เร่งรัดการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 งบอุดหนุนเฉพาะกิจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อก่อสร้างถนนคอนกรีตบริเวณหมู่ที่ 4 ตำบลทรัพย์ทวี ให้แก่ผู้ถูกร้องที่ 3 ทั้งนี้ ให้สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 11 (สุราษฎร์ธานี) เร่งรัดการอนุญาตให้ผู้ถูกร้องที่ 3 ใช้พื้นที่ป่าไม้ บริเวณหมู่ที่ 4 ตำบลทรัพย์ทวี เพื่อก่อสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน (ถนน) โดยเร็วด้วย

 

สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

15 สิงหาคม 2568

ไฟล์เอกสารที่เกี่ยวข้อง
เลื่อนขึ้นด้านบน