กสม. แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 18/2568 กสม. ประสานการแก้ไขปัญหากรณีการจ้างเจ้าหน้าที่ธุรการโรงเรียนและนักการภารโรงทั่วประเทศ ยืนยันหลักการด้านสิทธิแรงงาน - ตรวจสอบโครงการระบบโครงข่ายไฟฟ้าของ กฟผ. ในพื้นที่ อ.สองแคว จ.น่าน แนะให้ตรวจสอบสิทธิมนุษยชนรอบด้านและเร่งศึกษาวิจัยผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น - เชิญชวนสมัครหรือเสนอชื่อบุคคลและองค์กรที่มีผลงานดีเด่นด้านสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2568

30/05/2568 1082

                    วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม 2568 เวลา 10.30 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์  ภัยหลีกลี้ และนางสาวศยามล  ไกยูรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 18/2568 โดยมีวาระสำคัญ 3 วาระ ดังนี้

                    1. กสม. ประสานการแก้ไขปัญหากรณีการจ้างเจ้าหน้าที่ธุรการโรงเรียนและนักการภารโรงทั่วประเทศ ยืนยันหลักการด้านสิทธิแรงงาน

                    นายวสันต์  ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากสมาพันธ์เจ้าหน้าที่ธุรการโรงเรียนแห่งประเทศไทย และเครือข่ายลูกจ้างนักการภารโรงสี่ภาค เมื่อเดือนมีนาคม 2568 ระบุว่า เจ้าหน้าที่ธุรการโรงเรียน จำนวนกว่า 9,000 อัตรา นักการภารโรง จำนวนกว่า 20,000 อัตรา ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) (ผู้ถูกร้อง) ซึ่งเป็นลูกจ้างชั่วคราวตามสัญญาจ้างรายปี ได้รับผลกระทบจากการที่ สพฐ. ปรับเปลี่ยนสัญญาจ้างงานจากลูกจ้างชั่วคราวเป็นการจ้างเหมาบริการ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 (1 ตุลาคม 2567) เป็นต้นมา โดยไม่มีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ไม่มีการเจรจาต่อรอง และใช้กฎระเบียบบีบบังคับให้ต้องลงนามรับสภาพการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างงาน ทำให้ได้รับความเดือดร้อน ถูกยกเลิกประกันสังคมตามมาตรา 33 ของพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และกองทุนเงินทดแทน ตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมถึงไม่ได้รับสิทธิการลาป่วย การลาพักผ่อน ไม่มีเงินค่าเสี่ยงภัย ได้รับเงินเดือนล่าช้า จึงร้องเรียนขอความช่วยเหลือ

               กสม. เห็นว่าเรื่องร้องเรียนดังกล่าวสามารถแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็วได้โดยการประสานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อเดือนเมษายน 2568 กสม. จึงได้จัดประชุมร่วมกับสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน สำนักงานประกันสังคม กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง ผู้ทรงคุณวุฒิ สพฐ. และผู้ร้องทั้งสองกลุ่ม เพื่อหารือถึงแนวทางแก้ไขปัญหาตามคำร้อง โดยปรากฏข้อเท็จจริง สรุปว่า

               ตำแหน่งธุรการโรงเรียนและตำแหน่งนักการภารโรง ได้รับเงินค่าจ้างเดือนละ 15,000 บาท และ 9,000 บาท หากหยุดงานจะถูกหักเงินวันละ 500 และ 300 บาท ตามลำดับ แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนสัญญาจ้างจากลูกจ้างชั่วคราวเป็นการจ้างเหมาบริการ แต่การปฏิบัติงานยังคงเป็นลักษณะเดิม กล่าวคือ มีการลงเวลาปฏิบัติงาน มีสายการบังคับบัญชา ต้องรับคำสั่งจากผู้อำนวยการโรงเรียน ซึ่งเป็นลักษณะของการจ้างแรงงานมิใช่การจ้างเหมาบริการที่ประเมินผลเป็นชิ้นงานแต่อย่างใด

               ในปี 2552 สพฐ. ได้รับงบประมาณสนับสนุนการจ้างลูกจ้างชั่วคราวจากโครงการไทยเข้มแข็ง (พ.ศ.2553-2555) จึงนำงบประมาณมาจ้างบุคลากรสายสนับสนุนการศึกษา ภายหลังสิ้นสุดโครงการฯ สพฐ. ได้จ้างผู้ร้องทั้งสองกลุ่มเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานในสถานศึกษาอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งงบประมาณในหมวดงบดำเนินงานตามกรอบอัตรากำลัง เพื่อนำงบประมาณมาจ่ายสมทบค่าประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทนให้แก่ผู้ร้องทั้งสองกลุ่ม โดยไม่ได้ทำข้อตกลงกับกรมบัญชีกลางก่อนการจ้าง ซึ่งไม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2566 ตามหลักการงบประมาณการจ้างลูกจ้างชั่วคราวต้องจัดทำคำของบประมาณในหมวดบุคลากร ต่อมาสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ท้วงติงว่ากรณีดังกล่าวเป็นการใช้งบประมาณไม่ถูกหมวด จึงได้เสนอแนะให้จัดทำคำของบประมาณในการจ้างลูกจ้างให้ถูกต้องตามหมวด อย่างไรก็ดี เมื่อ สพฐ. ยังไม่ได้จัดทำข้อตกลงกับกรมบัญชีกลาง จึงไม่สามารถจัดทำคำของบประมาณเพื่อสมทบการจ่ายค่าประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทนได้ ดังนั้น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ผู้ถูกร้องจึงตั้งงบประมาณการจ้างผู้ร้องทั้งสองในหมวดงบรายจ่ายอื่นไปพลางก่อน จึงทำให้รูปแบบของสัญญาจ้างเปลี่ยนไป เป็นในลักษณะของสัญญาจ้างเหมาบริการ

               กรณีการแก้ไขปัญหาดังกล่าว สพฐ. ผู้ถูกร้อง ได้หารือไปยังกรมบัญชีกลาง สำนักงาน ก.พ. สำนักงบประมาณ และได้ตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาลักษณะงาน โดยมีแผนเสนออัตราบุคลากรเพื่อทำข้อตกลงเป็นลูกจ้างชั่วคราวกับกรมบัญชีกลาง แยกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ลักษณะงานวิชาการเช่นเดียวกับข้าราชการกว่า 44,600 อัตรา และกลุ่มที่ 2 นักการภารโรง แม่ครัว กว่า 27,500 อัตรา ผู้ถูกร้องได้ทำหนังสือแจ้งกรมบัญชีกลางเมื่อเดือน เมษายน 2568 โดยกรมบัญชีกลางอยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติคำขออัตรากำลังลูกจ้างชั่วคราวของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

               กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ได้พิจารณาผลการประสานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนแล้ว เห็นว่า กรณีดังกล่าว สพฐ. ผู้ถูกร้องได้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาและจัดทำข้อมูลลักษณะการปฏิบัติงานในตำแหน่งธุรการโรงเรียนและนักการภารโรงส่งไปยังกรมบัญชีกลาง เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องแล้ว อย่างไรก็ดี เพื่อเป็นการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน จึงมีมติให้ดำเนินการดังนี้

               (1) มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีให้พิจารณาจัดสรรงบประมาณสำหรับการจ้างงานลูกจ้างกลุ่มเจ้าหน้าที่ธุรการโรงเรียน และนักการภารโรง เป็นลูกจ้างชั่วคราวเช่นเดิม พร้อมทั้งสมทบค่าประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทน เพื่อเป็นการเยียวยาในระยะเร่งด่วน

                    (2) มีหนังสือถึงสำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ( คปร. ) เพื่อยืนยันหลักการด้านสิทธิแรงงาน ตามที่ได้รับการรับรองคุ้มครองไว้ตามรัฐธรรมนูญ กติการะหว่างประเทศ และหรือหลักการอื่นและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา

                    (3) มีหนังสือถึง สพฐ. ผู้ถูกร้อง ให้กำชับติดตามความคืบหน้าการดำเนินการดังกล่าวไปยังหน่วยงาน
ที่เกี่ยวข้องต่อไป

 

               2. กสม. ตรวจสอบโครงการระบบโครงข่ายไฟฟ้าของ กฟผ. ในพื้นที่ อ.สองแคว จ.น่าน แนะตรวจสอบสิทธิมนุษยชนรอบด้านและเร่งศึกษาวิจัยผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น

               นางสาวศยามล  ไกยูรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากเครือข่ายพลังสองแควเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ระบุว่า โครงการระบบโครงข่ายไฟฟ้า 500 กิโลโวลต์ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนหงสาลิกไนต์ของ สปป. ลาว (ดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อปี 2558) มีเสาไฟฟ้าพาดผ่านพื้นที่ทำกิน ที่อยู่อาศัยของเกษตรกรและประชาชนในตำบลนาไร่หลวง และตำบลชนแดน อำเภอสองแคว จังหวัดน่าน ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติในพื้นที่ เช่น พื้นที่ป่าไม้เขตอนุรักษ์ และป่าชุมชนลดลง การประกอบอาชีพเกษตรกรรมของประชาชนเปลี่ยนแปลงไป แม่ไก่ฟักไข่เป็นไข่ข้าว ปลาไม่โตตามเวลา ผลผลิตการเกษตรใต้แนวสายส่งลดลง ประชาชนต้องเผชิญกับเสียงดังรบกวนจากสายส่งเสาไฟฟ้า เสียงฟ้าร้องและฟ้าแลบในช่วงฤดูฝน และรู้สึกไม่ปลอดภัยจากเสาไฟฟ้าที่อาจไม่มีสายดิน ที่ดินของประชาชนที่มีเสาไฟฟ้าพาดผ่านกลายเป็นพื้นที่มีตำหนิส่งผลต่อการออกโฉนดที่ดิน และยังคงมีปัญหาไฟฟ้าดับบ่อย ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตประจำวันของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยติดเตียงที่จำเป็นต้องพึ่งพาถังออกซิเจน แม้ว่า กฟผ. จะแจ้งว่าวัตถุประสงค์ส่วนหนึ่งของโครงการคือการนำกระแสไฟฟ้ามาแก้ไขปัญหาไฟฟ้าดับบ่อยให้กับประชาชนในพื้นที่ก็ตาม นอกจากนี้ ระบบโครงข่ายไฟฟ้าเส้นใหม่ ของ กฟผ. ในฐานะ ผู้ถูกร้อง ซึ่งอยู่ระหว่างการสำรวจและกำหนดแนวสายส่งไฟฟ้าพาดผ่านในพื้นที่ตำบลชนแดนและตำบลนาไร่หลวงเช่นเดิมนั้น ผู้นำชุมชนและประชาชนไม่ทราบเรื่องการสำรวจและแนวเส้นสำรวจสายส่งไฟฟ้ามาก่อน ทำให้อาจจะกระทบสิทธิในที่ดินของประชาชน และประชาชนในพื้นที่ยังไม่มีส่วนร่วมในโครงการทั้งสองของผู้ถูกร้อง จึงขอให้ตรวจสอบ

               กสม. ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นว่า การดำเนินโครงการระบบโครงข่ายไฟฟ้า 500 กิโลโวลต์ รับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนหงสาลิกไนต์ สปป. ลาว รวมทั้งการดำเนินระบบโครงข่ายไฟฟ้าเส้นใหม่ คือ โครงการระบบโครงข่ายไฟฟ้าเพื่อรองรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป. ลาว ของ กฟผ. ซึ่งอยู่ระหว่างการขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตามขั้นตอนของกฎหมาย มีพื้นที่พาดผ่านพื้นที่คุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี ต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และมีพื้นที่พาดผ่านพื้นที่ป่าโซน C ต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (IEE) ได้จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในจังหวัดน่านครอบคลุมพื้นที่ทั้งสองช่วงในตำบลชนแดนและตำบลนาไร่หลวง อำเภอสองแคว อันเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดทำรายงาน EIA รวมทั้งกฎหมายอื่นที่เปิดโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่ได้เข้ามามีส่วนร่วมแล้ว โดยได้นำข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะมากำหนดมาตรการป้องกันผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวรวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนตามที่เสนอในรายงาน EIA และรายงาน IEE อย่างเคร่งครัด รวมทั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ยังไม่มีการประกาศกำหนดเขตระบบโครงข่ายไฟฟ้า ในชั้นนี้ จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่า การดำเนินโครงการทั้งสองของผู้ถูกร้อง ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน

               สำหรับประเด็นผลกระทบต่อสุขภาพ สภาพแวดล้อม วิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่อำเภอสองแคว จังหวัดน่าน นั้น เห็นว่า ผู้ถูกร้องดำเนินโครงการระบบโครงข่ายไฟฟ้า 500 กิโลโวลต์ฯ ตั้งแต่ปี 2558 มีการจัดทำรายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นประจำทุก 2 เดือน และมีมาตรการลดความเสี่ยงและแนวทางการเยียวยาความเสียหายจากการละเมิดสิทธิมนุษยชน ตามรายงานผลการปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (National Action Plan on Business and Human Rights: NAP) แต่ยังมีประชาชนที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น ไฟฟ้าดับบ่อยที่ส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยติดเตียงที่ต้องพึ่งพาออกซิเจนและเครื่องมือแพทย์ การตัดต้นไม้ส่งผลกระทบต่อแหล่งต้นน้ำลำธารในพื้นที่ การปลูกป่าทดแทนในพื้นที่ที่ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง การคืนประโยชน์สู่ชุมชนที่ไม่ชัดเจนหรือเพียงพอในด้านต่าง ๆ รวมทั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งมีชีวิต เช่น สาเหตุการเสียชีวิตของประชาชนที่อาศัยอยู่ใกล้เสาไฟฟ้าแรงสูง การเจ็บป่วยของประชาชน และอาการผิดปกติและการตายของสัตว์น้ำและสัตว์เลี้ยง

               ขณะที่การดำเนินระบบโครงข่ายไฟฟ้าเส้นใหม่ คือ โครงการระบบโครงข่ายไฟฟ้าเพื่อรองรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป. ลาว ได้กำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่สำคัญไว้ และมีข้อกำหนดให้ผู้ถูกร้องเร่งดำเนินการแก้ไขปรับปรุงข้อร้องเรียนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไว้ในรายงาน EIA และผู้ถูกร้องยังมีนโยบายให้มีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบข้อสงสัยของประชาชนเกี่ยวกับผลกระทบของระบบโครงข่ายไฟฟ้าต่อการเจริญเติบโตของพืชและสัตว์โดยตรง จึงเห็นว่า ผู้ถูกร้องได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน แก้ไข และติดตามผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งยังไม่ปรากฏหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชี้ชัดว่าเสาไฟฟ้าแรงสูงสามารถกระตุ้นความเสี่ยงให้เกิดโรคร้ายแรงได้ และไม่พบการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของพืชหลักในแนวสายส่งไฟฟ้าแรงสูง ในชั้นนี้ จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่าการดำเนินโครงการทั้งสองของผู้ถูกร้องส่งผลกระทบต่อสุขภาพ สภาพแวดล้อม วิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่อำเภอสองแคว จังหวัดน่าน

               อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผู้ถูกร้องได้ปฏิบัติตามมาตรการและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องครบถ้วน แต่ยังคงมีปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงต่อประชาชนในพื้นที่ ดังนั้น เพื่อคุ้มครองสิทธิในการดำรงชีวิตในสิ่งแวดล้อมและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพของประชาชน และยังเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องคุ้มครอง บำรุงรักษา ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR) ที่ได้ให้การรับรองไว้ กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 จึงมีข้อเสนอแนะไปยัง กฟผ. ในฐานะผู้ถูกร้องและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสรุปได้ดังนี้

               ให้ กฟผ. เร่งดำเนินการศึกษาและวิจัยร่วมกับหน่วยงานหรือสถาบันการศึกษา เกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการระบบโครงข่ายไฟฟ้าต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนและสิ่งแวดล้อม ทั้งในระยะสั้นและระยาว และร่วมกับจังหวัดน่าน เฝ้าระวังสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอย่างต่อเนื่อง โดยตรวจวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อมและตรวจสุขภาพให้ประชาชนในพื้นที่หมู่บ้านที่สายส่งไฟฟ้าพาดผ่าน และให้แจ้งข้อมูลผลการตรวจและมาตรการเฝ้าระวังสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ผ่านช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ หรือผ่านผู้นำชุมชน เพื่อสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นให้ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการทั้งสอง พร้อมทั้งดำเนินการคืนประโยชน์ให้กับชุมชนที่ได้รับผลกระทบ อาทิ จัดสรรงบประมาณดูแลรักษาสุขภาพของประชาชนที่อาศัยอยู่ใกล้แนวเสาไฟฟ้าแรงสูง จัดสรรงบประมาณปลูกต้นไม้ทดแทนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ และส่งเสริมอาชีพอย่างยั่งยืนในพื้นที่ทำกินของประชาชนที่ใกล้แนวเสาไฟฟ้าแรงสูง รวมทั้งการจ่ายเงินค่ารอนสิทธิในที่ดินของประชาชนให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง

               ให้ กฟผ. ดำเนินการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence: HRDD) ของทั้งสองโครงการเป็นประจำทุกปีเพื่อประเมินผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม รวมทั้งพัฒนากลไกการมีส่วนร่วมที่มีความหมาย เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงและรับรู้ข้อมูลข่าวสาร รวมทั้งมีส่วนร่วมตลอดระยะเวลาการดำเนินโครงการ โดยให้กระทรวงพลังงานจัดทำแผนตรวจสอบ ติดตาม และเผยแพร่รายงานผลการประเมินการทำ HRDD ทั้งสองโครงการของ กฟผ. ให้ประชาชนทั่วไปรับทราบ

               นอกจากนี้ ให้ กฟผ. และกระทรวงพลังงาน ถอดบทเรียนผลการดำเนินโครงการระบบสายส่งไฟฟ้าที่ผ่านมา โดยรวบรวมปัญหาอุปสรรค และข้อร้องเรียน เพื่อนำไปแก้ไขหรือปรับปรุงการดำเนินโครงการในระยะต่อไปให้เป็นไปตามหลักการชี้แนะแห่งสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน (UNGPs) และให้มีการทำ HRDD โดยครอบคลุมมิติผลกระทบต่อชุมชน ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ทั้งนี้ ให้ดำเนินการในโครงการระบบโครงข่ายไฟฟ้าเพื่อรองรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป. ลาว ที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติมีมติเห็นชอบต่อรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2567

 

               3. กสม. เชิญชวนสมัครหรือเสนอชื่อบุคคลและองค์กรที่มีผลงานดีเด่นด้านการส่งเสริม ปกป้อง และคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2568

               นายวสันต์  ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า ด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เห็นสมควรมอบรางวัลบุคคลและองค์กรที่มีผลงานดีเด่นด้านการส่งเสริม ปกป้อง และคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2568 เพื่อยกย่อง เชิดชู และประกาศเกียรติคุณบุคคลและองค์กรที่อุทิศตนปฏิบัติงานด้านสิทธิมนุษยชนให้สังคมได้รับรู้ ตลอดจนเพื่อเผยแพร่ประวัติผลงานให้เป็นแบบอย่างและเป็นแรงบันดาลใจแก่บุคคลหรือองค์กรอื่นในสังคม รวมทั้งเพื่อรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของสิทธิมนุษยชนเพิ่มขึ้น โดยแบ่งประเภทรางวัลออกเป็น 7 ประเภท 12 รางวัล ดังนี้

                    (1) ประเภทบุคคล กลุ่มบุคคล เครือข่าย จำนวน 6 รางวัล ได้แก่ ด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง จำนวน 2 รางวัล ด้านสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม จำนวน 2 รางวัล และด้านสิทธิของกลุ่มคนเปราะบาง จำนวน 2 รางวัล

               (2) ประเภทองค์กรภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน จำนวน 1 รางวัล

               (3) ประเภทหน่วยงานภาครัฐในระดับพื้นที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 1 รางวัล

               (4) ประเภทองค์กรภาคเอกชน จำนวน 1 รางวัล

               (5) ประเภทองค์กรภาคประชาสังคม จำนวน 1 รางวัล

               (6) ประเภทสื่อมวลชน จำนวน 1 รางวัล

               (7) ประเภทโครงการหรืองานด้านการส่งเสริม ปกป้อง และคุ้มครองสิทธิมนุษยชน จำนวน 1 รางวัล

               บุคคลและองค์กร โครงการหรืองาน ที่ได้รับการคัดเลือกจะได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณ และเงินรางวัล รางวัลละ 30,000 บาท (สามหมื่นบาทถ้วน)

                    ในการนี้ จึงขอเชิญชวนผู้สนใจยื่นใบสมัครหรือเสนอชื่อได้ตั้งแต่บัดนี้ จนถึงวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 โดยสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่กลุ่มงานส่งเสริมสิทธิมนุษยชน สำนักส่งเสริมการเคารพสิทธิมนุษยชน สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หมายเลขโทรศัพท์ 0 2141 3930 หรือ 0 2141 3925 โทรศัพท์มือถือ 09 2471 3322 หรือ 06 2492 4641 โดยสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ www.nhrc.or.th

 

สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

30 พฤษภาคม 2568

 

 

 

ไฟล์เอกสารที่เกี่ยวข้อง
เลื่อนขึ้นด้านบน