กสม. ประชุมรับฟังข้อมูล ข้อคิดเห็น เกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อใช้ประกอบการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568

29/05/2568 197

            เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2568 เวลา 14.00 น. ที่ห้องประชุม 701 สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (สำนักงาน กสม.) และการประชุมทางไกลผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบออนไลน์ (Zoom meeting) ผศ. สุชาติ  เศรษฐมาลินี นางสาวปิติกาญจน์  สิทธิเดช และนายวสันต์  ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พร้อมด้วย นางสาวรตญา  กอบศิริกาญจน์ รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ นายสุเรนทร์  ปะดุกา ผู้อำนวยการสำนักงาน กสม. พื้นที่ภาคใต้ และเจ้าหน้าที่สำนักงาน กสม. พื้นที่ภาคใต้ ประชุมรับฟังสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อนำความคิดเห็น และข้อเสนอแนะ ใช้เป็นข้อมูลประกอบการดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วย พระมหานภันต์ สนฺติภทฺโท ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร และประธานกรรมการมูลนิธิสถาบันการจัดการวิถีพุทธเพื่อสุขและสันติ นายดนัย  มู่สา ผู้ทรงคุณวุฒิคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติด้านการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและสิทธิมนุษยชนศึกษา ผศ.ดร.อาทิตย์  ทองอินทร์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง พลโท สุรเทพ  หนูแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 5 กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร นางอาดีลา  บูเดียะ ผู้อำนวยกลุ่มงานบริหารงานยุติธรรมและอำนวยความเป็นธรรม ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) นายพยุงศักดิ์  กาฬมิค ผู้อำนวยการสำนักงานยุติธรรมจังหวัดยะลา และนายพงษ์ศักดิ์  พรหมสังข์ ประธานสมาพันธ์ไทยพุทธจังหวัดชายแดนภาคใต้

            ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมประชุมได้มีความเห็น และข้อเสนอแนะเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในพื้นที่ภาคใต้สรุปได้ ดังนี้

            1. เหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รอบใหม่ ตั้งแต่เดือนมกราคม 2568 ถึง ปัจจุบัน ผู้ก่อเหตุได้กระทำต่อกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก สตรี และผู้สูงอายุ โดยเฉพาะพุทธศาสนิกชน ซึ่งถือเป็นคนกลุ่มน้อยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่เกิดความหวาดกลัว และวิตกกังวล รวมทั้งมีการสร้างปฏิบัติการข่าว ทำให้เกิดความหวาดระแวงต่อกัน โดยประชาชนผู้นับถือศาสนาพุทธในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รู้สึกไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รวมทั้งไม่สามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติ ขาดความเชื่อมั่นต่อเจ้าหน้าที่รัฐ และกระบวนการยุติธรรม

            2. ที่ประชุมมีข้อสังเกตว่า การปรับเปลี่ยนนโยบายของรัฐบาลต่อกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้อาจส่งผลต่อสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ และที่ประชุมเห็นพ้องกันว่า การพูดคุยเพื่อสันติสุขเป็นเครื่องมือที่จำเป็นและสำคัญในการสร้างสันติภาพในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีเป้าหมายให้ประชาชนในพื้นที่ได้ประโยชน์สูงสุด

            3. ที่ประชุมเห็นว่า หลักการสิทธิมนุษยชนเป็นตัวสนับสนุนสำคัญในการสร้างความมั่นคง โดยเฉพาะความมั่นคงของประชาชนในพื้นที่ โดยเสนอแนะให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) นำหลักการสิทธิมนุษยชนไปสร้างสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างสันติสุข พร้อมทั้งเสนอแนะให้ กสม. เป็นกลไกที่สำคัญในการประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐ กับประชาชน       โดยการส่งเสริมให้ภาครัฐกำหนดนโยบายให้สอดคล้องตามหลักสิทธิมนุษยชน และตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนทุกกลุ่มของพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ให้เกิดความรู้สึกถูกเลือกปฏิบัติ ประการสำคัญ รัฐต้องประกันความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และปฏิบัติหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย โดยคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

4. ที่ประชุมเห็นว่า ภาครัฐควรสนับสนุนกิจกรรมของภาคประชาสังคม ที่ขับเคลื่อนงานด้านสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ เช่น ราษฎรอาสารักษาหมู่บ้าน (อรบ.) กิจกรรมเพื่อนช่วยเพื่อน การเยียวยาจิตใจระหว่างกันเมื่อเกิดเหตุความรุนแรง เพื่อให้ชุมชนเข้มแข็งและสามารถดูแลตนเองได้

            5. ภาครัฐควรเร่งนำผู้ก่อเหตุความรุนแรงเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างรวดเร็ว ทำความจริงให้ปรากฏ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรม แม้ว่าจะจัดให้มีการเยียวยาแล้ว แต่กระบวนการเยียวยาอย่างรวดเร็ว เป็นธรรม โดยเฉพาะการเยียวยาทางด้านจิตใจก็ต้องเร่งดำเนินการ 

            6. เสนอแนะให้จัดให้มีพื้นที่กลางในการสื่อสาร สร้างความเข้าใจ แลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อสร้างความไว้วางใจ และลดความหวาดระแวงระหว่างกัน

            ทั้งนี้ สำนักงาน กสม. โดยสำนักงาน กสม. พื้นที่ภาคใต้ จะนำความเห็นและข้อเสนอแนะจากที่ประชุม เป็นข้อมูลประกอบการจัดโครงการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนให้กับพุทธศาสนิกชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อไป

เลื่อนขึ้นด้านบน