กสม. ศยามล ร่วมเสวนาวิชาการ เรื่อง "จากอนุสัญญามินามาตะ สู่การควบคุมปรอทในประเทศไทย"

18/02/2568 268

          เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ห้องประชุมสานใจ 1/1 อาคารสุขภาพแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข นางสาวศยามล  ไกยูรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ร่วมเสวนาวิชาการ เรื่อง "จากอนุสัญญามินามาตะ สู่การควบคุมปรอทในประเทศไทย" จัดโดย สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ร่วมกับ สำนักงาน กสม. สถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีอุดรธานี กระทรวงสาธารณสุข สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส และมูลนิธิบูรณะนิเวศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ความคิดเห็น และสังเคราะห์ข้อเสนอเชิงนโยบายในการควบคุมปรอท เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น หญิงตั้งครรภ์และเด็กปฐมวัยในพื้นที่เสี่ยง

          ในการเสวนาดังกล่าว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้เน้นย้ำถึงความเชื่อมโยงระหว่างสิทธิในชีวิตกับสิทธิในสิ่งแวดล้อมและสุขภาพซึ่งเป็นสิทธิที่รัฐต้องทำให้เกิดขึ้นตามตราสารระหว่างประเทศและหลักนิติธรรมสิ่งแวดล้อม โดยภาครัฐต้องมีมาตรการที่เข้มงวดในการลดการปล่อยสารปรอท และสร้างกลไกคุ้มครองนักปกป้องสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เสี่ยง การเปิดเผยข้อมูลต่อประชาชนเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหา นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมเสวนาได้ร่วมกันนำเสนอข้อมูลและแนวทางในการควบคุมปรอท ดังนี้

          มูลนิธิบูรณะนิเวศ: เสนอผลการวิจัยเกี่ยวกับการปนเปื้อนสารปรอทในสิ่งแวดล้อมบริเวณพื้นที่อุตสาหกรรม และการผลักดันกฎหมาย PRTR (Pollutant Release and Transfer Register) เป็นเครื่องมือที่ช่วยเปิดเผยข้อมูลแหล่งกำเนิดมลพิษและการจัดการสารเคมี เพื่อให้ภาครัฐจัดการแก้ไขอย่างจริงจังและประชาชนใช้ข้อมูลปกป้องตนเองได้ 

          กรมควบคุมโรค: เสนอแนวทางการเฝ้าระวังและป้องกันโรคจากพิษปรอท โดยการกำหนดมาตรการกฎหมายควบคุมสารปรอทในผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค เช่น เครื่องสำอางและวัสดุทางการแพทย์ และพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อตรวจวัดและกำจัดสารปรอท การเฝ้าระวังและป้องกันโรคจากพิษปรอทโดยเฉพาะในพื้นที่อุตสาหกรรม การออกประกาศห้ามตั้งหรือขยายโรงงานที่ใช้ปรอทหรือสารประกอบปรอทในกระบวนการผลิต การกำหนดปริมาณปรอทในของเสียปนเปื้อนในประเทศ การจัดทำเนียบการปลดปล่อยปรอทและแผนอนุวัตรที่ประเทศไทยเข้าร่วมในอนุสัญญามินามาตะ

          วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีอุดรธานี: นำเสนอการวิจัยด้านสาธารณสุขและแนวทางเฝ้าระวังความเสี่ยงทางสุขภาพของหญิงตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ และผลกระทบของปรอทต่อพัฒนาการของเด็ก โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการลดความเสี่ยงจากการสัมผัสสารปรอทเพื่อปกป้องสุขภาพของกลุ่มเปราะบาง การให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับอันตรายของสารปรอทและวิธีป้องกันตนเอง โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง

          ห้องเรียนสุดขอบฟ้า: เสนอถึงบทบาทของนักวิทยาศาสตร์ภาคพลเมือง (Citizen Science) ในการเฝ้าระวังมลพิษ โดยประชาชนมีส่วนร่วมในการเก็บข้อมูลและเฝ้าระวังปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องทั้งก่อนและหลังการเผชิญเหตุ เพื่อเป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ที่ใช้พิสูจน์ผลกระทบของมลพิษต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมได้ และเป็นการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ (Open Data) เพื่อให้ประชาชนร่วมวิเคราะห์ข้อมูลและสร้างเครือข่ายระหว่างนักวิทยาศาสตร์ นักสิ่งแวดล้อม และภาคประชาชน ในการขับเคลื่อนนโยบายและการแก้ไขด้านสิ่งแวดล้อมในระดับท้องถิ่น 

          ในช่วงท้าย ผู้แทนจากสำนักวิชาการสาธารณสุขและสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข ได้สรุปความเชื่อมโยงระหว่างการควบคุมสารปรอทกับระบบสาธารณสุขไทยโดยการพัฒนากลไกการเฝ้าระวังและระบบแจ้งเตือนและป้องกันโรคทางสาธารณสุขในพื้นที่เสี่ยง รวมทั้งการประเมินผลกระทบทางสุขภาพจากการได้รับสารปรอทในกลุ่มประชากรต่าง ๆ  โดยที่ประชุมเห็นพ้องกันว่า นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมสุขภาพจะต้องมีความมุ่งมั่นทางการเมือง และการให้สัตยาบันอนุสัญญามินามาตะจะเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้รัฐบาลไทยต้องปรับปรุงกฎหมายและนโยบายให้มีความเข้มแข็งโดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน

          ทั้งนี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้กล่าวในตอนท้ายว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) มุ่งมั่นที่จะร่วมผลักดันข้อเสนอเชิงนโยบายในการสร้างมาตรการคุ้มครองสุขภาพของประชาชน และให้ความสำคัญกับการดำเนินการตามอนุสัญญามินามาตะอย่างจริงจังเพื่อให้การควบคุมสารปรอทในประเทศไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาระบบการคุ้มครองสิทธิในการได้อยู่สิ่งแวดล้อมที่ดี สะอาด และปลอดภัยต่อสุขภาพของประชาชนอย่างยั่งยืน

เลื่อนขึ้นด้านบน