กสม.ศยามล ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเวทีวิชาการสาธารณะ "ปัญหาและทางออกเชิงนโยบายความเป็นธรรมด้านสภาพภูมิอากาศ" เพื่อรับฟังความเห็น ข้อเสนอแนะ แนวทางแก้ไขปัญหาสภาพอากาศแปรปรวนจากสภาวะโลกเดือดที่เหมาะสมกับแผนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยและของโลก

13/02/2568 310

               เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 13.00 น. นางสาวศยามล  ไกยูรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเวทีวิชาการสาธารณะ "ปัญหาและทางออกเชิงนโยบายความเป็นธรรมด้านสภาพภูมิอากาศ" ร่วมกับ นายประสาท  มีแต้ม อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม สภาองค์กรของผู้บริโภค และนางสาวอโณทัย  สังข์ทอง ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารและทะเบียนคาร์บอนเครดิต องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ดำเนินรายการโดย คุณกมล  สุกิน บรรณาธิการสำนักข่าวกรีนนิวส์ (GreenNews)

               ในเวทีดังกล่าวคณะผู้ศึกษาแนวคิดและผลกระทบนโยบายคาร์บอนเครดิต ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสภาองค์กรของผู้บริโภค นำเสนอผลการศึกษาสรุปได้ว่า

               - พบปัญหาในการตรวจสอบและความน่าเชื่อถือ การศึกษาโครงการคาร์บอนเครดิต 50 โครงการใหญ่พบว่า 39 โครงการเป็น "เครดิตขยะ" ที่ไม่สามารถพิสูจน์การลดคาร์บอนได้จริง อีก 16 โครงการมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นเครดิตขยะ

               - การวัดคาร์บอนเครดิตมักจะตัดบริบททางนิเวศและสังคมออกไป ทำให้มองข้ามคุณค่าอื่น ๆ ของป่าไม้ที่ไม่ใช่แค่การกักเก็บคาร์บอน

               - การชดเชยข้ามพื้นที่และเวลา : โครงการปลูกป่าเพื่อชดเชยคาร์บอนในประเทศหนึ่ง อาจส่งผลกระทบต่อชุมชนและระบบนิเวศในอีกประเทศหนึ่ง และการประเมินผลกระทบในระยะยาวมีความไม่แน่นอน

               - ความรับผิดชอบร่วมบนพื้นฐานที่แตกต่าง โดยคนที่ใช้ทรัพยากรมากกว่าและปล่อยก๊าซคาร์บอนมากกว่าต้องรับผิดชอบมากกว่า

               - การจัดการป่าเพื่อคาร์บอนไม่สอดคล้องกับระบบนิเวศในระยะยาว และอาจกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพและความมั่นคงทางอาหารของท้องถิ่น

               - เสนอให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยตรงจากภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะภาคพลังงาน

               - เสนอให้ลดการปล่อยลงอย่างน้อย 43% ภายในปี 2030 ตามข้อเสนอของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC)

               - เสนอให้สนับสนุนชุมชนในการดูแลป่าโดยตรง โดยไม่ต้องผ่านกลไกตลาดคาร์บอน

               - เสนอให้ยอมรับและสนับสนุนบทบาทของชนพื้นเมืองในการดูแลรักษาป่า

               - เสนอให้พัฒนานโยบายที่สนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียนที่มีต้นทุนต่ำกว่าพลังงานฟอสซิล

               - เสนอให้เพิ่มมาตรการควบคุมและกำกับดูแลกลไกคาร์บอนเครดิต เพื่อป้องกันการ "ฟอกเขียว(greenwashing)"

               - เสนอให้ปรับปรุงร่างกฎหมายโลกร้อนที่เน้นกลไกตลาดมากเกินไป

               - เสนอให้รับรองสิทธิความเป็นธรรมด้านภูมิอากาศในรัฐธรรมนูญ

               - เสนอให้มีมาตรการในการกำกับดูแลการทำงานของภาคธุรกิจตามหลักการชี้แนะของสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน

               - เสนอให้มีกฎหมายป้องกันการฟ้องปิดปาก (Anti-SLAPP) เพื่อปกป้องประชาชนที่ตรวจสอบการดำเนินงานของภาคธุรกิจ

               ในการนี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาตินำเสนอมุมมองด้านสิทธิมนุษยชนและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ดังนี้

- เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีความซับซ้อน แต่ต้องยึดหลักสิทธิมนุษยชน ได้แก่ หลักสิทธิเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดี สิทธิในการมีส่วนร่วมของประชาชน การรับข้อมูลข่าวสารอย่างครบถ้วน รอบด้าน การได้รับความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อม และหลักการที่จำเป็นต้องมีในร่างกฎหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คือ สิทธิในชีวิตและความปลอดภัย สิทธิในการมีที่อยู่อาศัย สิทธิในสุขภาพ สิทธิในการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ และสิทธิของกลุ่มประชากรเฉพาะ หลัก "payment for ecosystem services" ที่ผู้ดูแลระบบนิเวศควรได้รับเงิน หลัก Prior Informed Consent ที่ต้องแจ้งและขอความยินยอมก่อนเข้าไปใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และชี้ว่าร่างกฎหมายของไทยยังไม่เพียงพอ เพราะไม่ได้ร่างบนหลักสิทธิมนุษยชน กฎหมายสิ่งแวดล้อมยังไปไม่ถึงเรื่องความรับผิดและการฟ้องร้องคดี กฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายฉบับต้องเชื่อมโยงกัน ที่สำคัญต้องมีการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นไปดำเนินการเพื่อความรวดเร็วในการรับมือกับปัญหาสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ได้ยกตัวอย่างกฎหมายของต่างประเทศ เช่น เดนมาร์ก และสวีเดน ที่เน้นพลังงานหมุนเวียน การเลิกใช้ถ่านหิน และการใช้ภาษีคาร์บอน เห็นด้วยกับคณะผู้ศึกษาว่าคาร์บอนเครดิตอาจไม่ใช่ทางออกที่แท้จริง เนื่องจากในระบบกลไกตลาดผู้มีอำนาจมักได้เปรียบทำให้ไม่เกิดความเป็นธรรม

               นอกจากนี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติยังมีข้อเสนอแนะในเวที ดังนี้

               - ต้องมีการประเมินความเสี่ยงและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน

               - ควรใช้ non-market mechanism เช่น กำหนดมาตรฐานเชื้อเพลิงสะอาด และส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน

               - ควรพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าและระบบขนส่งสาธารณะ

               - ควรสนับสนุนการจัดการขยะและเศรษฐกิจหมุนเวียน รวมทั้งให้ผู้บริโภคร่วมรับผิดชอบในการแยกขยะ

               - ควรสนับสนุนชุมชนในการดูแลป่าไม้ โดยใช้ payment for ecosystems service แทน carbon offset

               - รัฐควรสนับสนุนสิ่งที่ทำให้ชาวบ้านเข้าถึงประโยชน์ได้ง่าย และมีมาตรการจูงใจให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการลดสภาวะโลกเดือด

               - เสนอให้มีกฎหมาย climate change ที่ทำหน้าที่กำกับและบังคับภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจให้มีความรับผิดชอบ ต้องมีมาตรการบังคับให้ภาคอุตสาหกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มีฐานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ชัดเจน

               - ควรเร่งส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน และแก้ไขปัญหา อุปสรรคที่ถ่วงรั้งการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน

               - ควรมีแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ชัดเจน โดยมีการประเมินความเสี่ยงและผลกระทบ มีแผนการจัดการน้ำ เกษตร สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม

               - ควรมีมาตรการฟ้องร้องคดี การเยียวยา และการใช้หลักสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดี

 

 

 

เลื่อนขึ้นด้านบน