กสม. แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 30/2567  กสม. ชงแก้กฎ ก.ตร. ว่าด้วยลักษณะต้องห้ามของการเป็นตำรวจ ย้ำต้องไม่เลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวี ตามหลัก U = U ไม่เจอ = ไม่แพร่ - จัดเวทีรับฟังความคิดเห็น 5 ภูมิภาค จัดทำข้อเสนอแนะเชิงกฎหมายรับมือวิกฤติโลกเดือด ให้สอดคล้องตามหลักสิทธิมนุษยชน

06/09/2567 1431

                    วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม 2567 เวลา 10.00 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์  ภัยหลีกลี้ และนางสาวสุภัทรา  นาคะผิว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ครั้งที่ 30/2567 โดยมีวาระสำคัญดังนี้

                    1. กสม. ชงแก้กฎ ก.ตร. ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของการเป็นข้าราชการตำรวจ ย้ำต้องไม่เลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวี ตามหลัก U=U ไม่เจอ=ไม่แพร่

 

               นางสาวสุภัทรา  นาคะผิว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้มีมติหยิบยกกรณี กฎ ก.ตร. ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของการเป็นข้าราชการตำรวจ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เนื่องจากพบว่ากฎ ก.ตร. ดังกล่าวได้กำหนดคุณสมบัติบางประการตามบัญชีโรคหรืออาการที่ไม่ควรเป็นข้าราชการตำรวจ ซึ่งอาจเข้าข่ายเป็นการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกาย หรือสุขภาพตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 27 วรรคสาม ซึ่งเมื่อปี พ.ศ. 2562 กสม. เคยมีรายงานผลการตรวจสอบที่ 413/2562 ลงวันที่ 4 ธันวาคม 2562 วินิจฉัยประเด็นการเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวีตามกฎ ก.ตร. ว่าเป็นการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และได้มีข้อเสนอแนะให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) และโรงพยาบาลตำรวจ ปรับปรุงแก้ไขแนวทางการตีความคำว่า “โรคเอดส์” และการติดเชื้อเอชไอวีในกฎ ก.ตร. รวมถึงปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย กฎ ระเบียบ เพื่อไม่ให้เกิดการเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวี และเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการแพทย์ที่ได้รับการยอมรับในปัจจุบัน แต่ ตร. และ ครม. ไม่ได้ดำเนินการตามข้อเสนอดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่าเป็นการกำหนดคุณสมบัติที่เกี่ยวเนื่องกับสมรรถภาพในการปฏิบัติงาน ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 27 วรรคห้า ได้ให้อำนาจในการจำกัดสิทธิและเสรีภาพในส่วนที่เกี่ยวกับการเมือง สมรรถภาพ วินัย หรือจริยธรรมของทหาร ตำรวจ ข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐไว้ ต่อมา เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2566 คณะกรรมการตำรวจแห่งชาติ ยังได้ออกกฎ ก.ตร. ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของการเป็นข้าราชการตำรวจ พ.ศ. 2566 (กฎ ก.ตร. 2566) โดยยังคงกำหนดให้โรคเอดส์และ/หรือการติดเชื้อเอชไอวีเป็นโรคหรืออาการที่เป็นลักษณะต้องห้ามในการเข้าเป็นข้าราชการตำรวจ กสม. จึงมีมติหยิบยกกรณีดังกล่าวขึ้นพิจารณาเพื่อจัดทำข้อเสนอแนะ

               จากการประชุมรับฟังความคิดเห็น พิจารณาข้อกฎหมาย แนวคิด ทฤษฎี พันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน เอกสาร งานวิจัย และแนวทางคำวินิจฉัยที่เกี่ยวข้อง พบว่า กฎ ก.ตร. 2566 เป็นการกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของการเป็นข้าราชการตำรวจเพิ่มเติมจากที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติตำรวจ พ.ศ. 2565 มาตรา 71 (5) โดยกำหนดคุณสมบัติที่แตกต่างจากการรับสมัครข้าราชการพลเรือนหรือข้าราชการอื่นโดยทั่วไป เนื่องจากมีการตั้งเงื่อนไขเกี่ยวกับอายุ สภาพร่างกาย เหตุแห่งสุขภาพ สมรรถนะทางร่างกาย ตลอดไปถึงบัญชีโรค อาการ ภาวะอื่นใด หรือมีลักษณะต้องห้าม ที่ไม่ควรเป็นข้าราชการตำรวจ และให้ดุลพินิจแก่คณะกรรมการแพทย์โรงพยาบาลตำรวจในการวินิจฉัยโรคหรืออาการอื่นใดที่เห็นว่าไม่ควรเป็นข้าราชการตำรวจได้

               แม้ กสม. จะเคยออกรายงานผลการตรวจสอบ เมื่อเดือนธันวาคม 2562 วินิจฉัยว่ากฎ ก.ตร. 2547 ที่ใช้อยู่ ณ ขณะนั้นมีข้อกำหนดอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่ ตร. และโรงพยาบาลตำรวจชี้แจงว่าไม่สามารถดำเนินการตามข้อเสนอแนะท้ายรายงานผลการตรวจสอบฉบับดังกล่าวได้ เนื่องจากเป็นการกำหนดกฎเกณฑ์ที่เหมาะสมตามความจำเป็นตามบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจภายใต้ขอบเขตของกฎหมายแล้ว มิใช่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมด้วยเหตุแห่งความแตกต่างในด้านสุขภาพหรือสมรรถภาพแต่อย่างใด เพราะจำเป็นต้องคัดเลือกบุคคลที่มีความพร้อมกว่าหรือดีที่สุด ทั้งทางด้านสุขภาพกายหรือจิตใจที่พร้อมปฏิบัติหน้าที่ได้โดยทันที และทนทานต่อทุกสถานการณ์ในการปฏิบัติภารกิจที่เร่งด่วน ยากลำบาก คับขัน และมีแรงบีบคั้นของสังคม เพื่อบรรลุต่อความคาดหวังของประชาชน โดยในภายหลัง ศาลปกครองสูงสุดก็ได้มีคำพิพากษาที่ อบ. 210/2565 ลงวันที่ 16 มิถุนายน 2565 วินิจฉัยประเด็นในคดีที่ผู้เสียหายในคำร้องดังกล่าวยื่นฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติกับพวก ว่า การกำหนดหลักเกณฑ์ในกฎ ก.ตร. ดังกล่าวนั้น เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ที่เหมาะสมตามความจำเป็นกับบทบาทอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของการเป็นข้าราชการตำรวจและอยู่ภายใต้ขอบเขตของอำนาจกฎหมายทุกประการมิใช่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมหรือไม่ให้โอกาสแก่ผู้เป็นโรคเอดส์หรืออ้างเหตุแห่งความเป็นโรคดังกล่าวมาจำกัดสิทธิในการเข้าทำงาน

               อย่างไรก็ดี จากการรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้ทรงคุณวุฒิ ตลอดจนการศึกษาวิธีปฏิบัติทางสากลของประเทศต่าง ๆ พบว่า ปัจจุบันหากผู้ติดเชื้อเอชไอวีกินยาต้านไวรัสเอชไอวีอย่างต่อเนื่อง จนสามารถควบคุมเชื้อไวรัสเอชไอวีให้มีค่า CD4 ในเกณฑ์ที่ได้มาตรฐาน กระทั่งกดเชื้อไวรัสเอชไอวีให้อยู่ในจุดที่ไม่สามารถตรวจจับหาเชื้อ หรือ “Undetectable” ได้ บุคคลผู้นั้นจะไม่แพร่เชื้อ (Untransmittable) และสามารถดำเนินชีวิตได้เหมือนกับคนที่ไม่ติดเชื้อ ทั้งการทำงาน การเรียน และมีอายุยืนยาว หรือเรียกว่า U=U (Undetectable = Untransmittable หรือไม่เจอ=ไม่แพร่) อีกทั้งแนวปฏิบัติใหม่ขององค์การอนามัยโลกเกี่ยวกับการยับยั้งการแพร่ไวรัสเอชไอวีในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของปัจเจกชนและลดการแพร่เชื้อ เมื่อปี 2566 ได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์นิยามของคำว่า “Undetectable” ในทางการแพทย์ว่า หากผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ตรวจไม่พบเชื้อไวรัสในชุดทดสอบ จะมีความเสี่ยงเท่ากับร้อยละศูนย์ที่จะส่งต่อไวรัสเอชไอวีให้แก่คู่นอน รวมถึงมีความเสี่ยงต่ำมากที่จะส่งต่อไวรัสเอชไอวีให้แก่บุตรทางน้ำนม หรือแม้แต่ผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีเชื้อไวรัสอยู่ระดับที่ “Suppressed” (มีการตรวจพบไวรัสเอชไอวีในเลือด แต่อยู่ระดับที่เท่ากับหรือต่ำกว่า 1,000 ตัว/มิลลิลิตร) ยังมีความเสี่ยงต่ำมากที่จะถ่ายทอดไวรัสเอชไอวีให้แก่คู่นอนหรือบุตรทางน้ำนมเช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงเห็นได้ว่า หากผู้ติดเชื้อเอชไอวีได้กินยาอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่อยู่ในภาวะ U=U แต่ก็มีความเสี่ยงต่ำที่จะแพร่เชื้อเอชไอวีให้แก่ผู้อื่น ซึ่งปัจจุบันในสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และสาธารณรัฐฝรั่งเศสได้เปลี่ยนกฎเกณฑ์ที่เป็นการตีตราผู้ติดเชื้อเอชไอวี โดยนำหลักการดังกล่าวมาพัฒนาเปลี่ยนแปลงนโยบายหรือกฎการรับสมัครบุคลากรเข้าร่วมกองทัพหรือการเป็นตำรวจ

               กสม. จึงเห็นว่า แม้การจำกัดสิทธิของบุคคลไม่ให้เข้ารับราชการตำรวจเพราะเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี อาจถูกยกเว้นได้ตามมาตรา 27 วรรคห้า ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ด้วยเหตุของสมรรถภาพการเป็นข้าราชการตำรวจ ตามนัยที่ปรากฏในแนวคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด แต่เมื่อพิจารณาถึงข้อเท็จจริงที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ปฏิบัติต่อข้าราชการที่ติดเชื้อเอชไอวี จะเห็นได้ว่า ตร. ไม่ได้นำประเด็นสมรรถภาพมาใช้พิจารณาในการสลับสับเปลี่ยน โยกย้าย หรือพิจารณาให้ออกจากราชการแต่อย่างใด ย่อมแสดงให้เห็นว่าการเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวีไม่ได้ส่งผลต่อสมรรถนะวินัยตามที่ได้กล่าวอ้าง ตลอดจนองค์ความรู้และแนวปฏิบัติทางต่างประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงหลังก็แสดงให้เห็นว่าการเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวีไม่ส่งผลต่อสมรรถภาพทางกาย หรือสุขภาพอย่างมีนัยยะสำคัญ 

                    นอกจากนี้ กสม. เห็นว่า การจำกัดสิทธิเสรีภาพ ต้องไม่ขัดต่อหลักนิติธรรมและหลักความได้สัดส่วนในความหมายอย่างแคบ รวมทั้งต้องไม่เพิ่มภาระหรือจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ และจะกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลมิได้ การนำเหตุแห่งการจำกัดสิทธิมาใช้จึงต้องมีเหตุผลที่มากเพียงพอและหลีกเลี่ยงมิได้ แต่เมื่อมีข้อเท็จจริงอันอาจทำให้เปลี่ยนแปลงเหตุแห่งการจำกัดสิทธิและเสรีภาพนั้น ก็ต้องนำเหตุดังกล่าวมาพิจารณาใหม่ด้วย ดังนั้น การเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวีในปัจจุบันจึงไม่อาจนำมากำหนดเป็นข้อยกเว้นของการเลือกปฏิบัติ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 27 วรรคห้า นอกจากนี้ การที่หน่วยงานราชการนำเหตุแห่งสมรรถภาพมาใช้จำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล อันก่อให้เกิดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลด้วยเหตุแห่งสุขภาพหรือสภาพร่างกาย และไม่นำปัจจัยอื่นมาพิจารณาประกอบกัน ทำให้เห็นว่าประเทศไทยยังขาดกฎหมายกลางในการคุ้มครองบุคคลจากการถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุต่าง ๆ ด้วย

               ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2567 จึงเห็นควรให้มีข้อเสนอแนะต่อนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ พิจารณายกเลิกคำว่าโรคเอดส์และผู้ติดเชื้อเอชไอวี ในบัญชีโรค อาการ ภาวะอื่นใด หรือมีลักษณะต้องห้าม ที่ไม่ควรเป็นข้าราชการตำรวจ ตามข้อ 2 (14) แนบท้ายกฎ ก.ตร.ฯ รวมทั้งห้ามมิให้มีการกำหนดนโยบายโยกย้ายข้าราชการตำรวจผู้ติดเชื้อเอชไอวี หรือมีการสั่งพักราชการ หรือให้ออกจากราชการ หรือไล่ออกจากราชการ ด้วยเหตุแห่งการเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาปรับปรุงกฎ ก.ตร. 2566 รวมไปถึงบัญชีโรค อาการ ภาวะอื่นใด หรือมีลักษณะต้องห้าม ที่ไม่ควรเป็นข้าราชการตำรวจ ตามข้อ 2 (14) แนบท้ายกฎ ก.ตร.ฯ ให้สอดคล้องกัน ตลอดจนให้เร่งพิจารณาลงนามรับรองกฎหมายขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล ฉบับของประชาชน เพื่อเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี และให้คณะรัฐมนตรีเร่งพิจารณาร่างพระราชบัญญัติขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล พ.ศ. .... ที่จัดทำโดยกระทรวงยุติธรรม เพื่อเข้าสู่การพิจารณาของสภา ทั้งนี้ ให้มีเนื้อหาครอบคลุมถึงประเด็นการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งสุขภาพและการเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวีด้วย

 

               2. กสม. จัดเวทีรับฟังความคิดเห็น 5 ภูมิภาค จัดทำข้อเสนอแนะเชิงกฎหมายในการรับมือวิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้สอดคล้องตามหลักสิทธิมนุษยชน

 

               นายวสันต์  ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) หรือภาวะโลกร้อนหรือโลกเดือด ถือเป็นวิกฤติทางสิ่งแวดล้อมในยุคปัจจุบัน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น ภาวะน้ำท่วม น้ำแล้งที่ไม่สอดคล้องตามฤดูกาล อันคุกคามและส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเป็นอยู่ที่ดีของคนทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบต่อประชากรกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ยากไร้ ผู้สูงอายุ เด็ก กลุ่มชาติพันธุ์ แรงงานอพยพข้ามชาติ ฯลฯ ที่มีอุปสรรคในการเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการขั้นพื้นฐาน 

               จากรายงาน Emissions Gap Report 2023 ที่จัดทำโดยโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) แสดงให้เห็นว่าภาวะโลกร้อนยังคงดำเนินต่อไปด้วยแนวโน้มที่รุนแรงขึ้น โดยพบว่าในปี 2565 มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 57.4 กิกะตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (GtCO2e) ซึ่งเติบโตร้อยละ 1.2 จากปีก่อนหน้า โดยภาคพลังงานที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและกระบวนการทางอุตสาหกรรมเป็นภาคส่วนหลักในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก คิดเป็น 2 ใน 3 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปัจจุบัน 

               จากการจัดอันดับขององค์กร Global Climate Risk Index (CRI) ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 9 ของประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุดในระหว่าง ปี 2543 – 2562 โดยพื้นที่ชายฝั่งทะเลถือเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงของประเทศ รวมทั้งกรุงเทพมหานคร ก็เป็นเมืองที่มีความเสี่ยงสูงสุด และภาคการเกษตรเป็นภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบสูงสุด 

               คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เห็นว่า ในการรับมือกับวิกฤตการณ์ดังกล่าว รัฐมีพันธกรณีหลักภายใต้กฎหมายสิทธิมนุษยชนในการบรรเทาปัญหาและทำให้ทุกคนสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ โดยจำเป็นต้องมีการบัญญัติกฎหมายเพื่อป้องกันและตอบสนองต่ออันตรายทางสิ่งแวดล้อมที่อาจหรือขัดขวางการใช้สิทธิมนุษยชน 

               อย่างไรก็ดี นโยบายการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศบางประการ หากไม่มีการพิจารณาแง่มุมสิทธิมนุษยชนอย่างเหมาะสม ก็อาจส่งผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนได้เช่นกัน เช่น โครงการพลังงานหมุนเวียน โครงการไฟฟ้าพลังน้ำ โครงการพลังงานลมและความร้อนใต้พิภพ หรือ การผลิตแบตเตอรี่ทดแทนรวมถึงแร่สกัด อาจนำไปสู่การแย่งยึดที่ดินของชุมชนท้องถิ่นและทำลายระบบนิเวศที่สำคัญในธรรมชาติ หรือโครงการก่อสร้างกำแพงป้องกันชายฝั่งถูกกัดเซาะที่ปกป้องชุมชนหนึ่งก็อาจทำให้อีกชุมชนหนึ่งมีความเสี่ยงต่อปัญหาการกัดเซาะหรือน้ำท่วม นอกจากนี้ โครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มุ่งเน้นเพียงบทบาทของการอนุรักษ์ก็อาจละเมิดสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์และชุมชนท้องถิ่นได้ 

                    กสม. ได้ติดตามการขับเคลื่อนของภาคส่วนต่าง ๆ ในการแก้ไขวิกฤตการณ์โลกร้อนหรือโลกเดือดในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะการจัดทำกฎหมายว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งปัจจุบันมีร่างกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวที่อยู่ระหว่างการพิจารณา จำนวน 3 ฉบับ ได้แก่ (1) ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. .... ยกร่างโดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (2) ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. .... ยกร่างและเสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล และ (3) ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการลดก๊าซเรือนกระจกและคาร์บอนเครดิต พ.ศ. .... ยกร่างและเสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคพลังประชารัฐ

               เพื่อให้การจัดทำกฎหมาย นโยบาย และมาตรการในการจัดการกับวิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสอดคล้องและไม่ละเมิดหลักสิทธิมนุษยชน กสม. จึงได้ดำเนินโครงการพัฒนาและขับเคลื่อนข้อเสนอแนะกฎหมายและนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศบนฐานสิทธิมนุษยชน เพื่อรับฟังและรวบรวมข้อมูลความเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียต่าง ๆ จัดทำเป็นรายงานข้อเสนอแนะในการจัดทำกฎหมายที่ตอบสนองต่อวิกฤติโลกร้อนหรือโลกเดือดบนหลักคิดด้านสิทธิมนุษยชนได้อย่างรอบด้านเสนอไปยังรัฐบาลต่อไป

               ทั้งนี้ กสม. ได้ร่วมกับองค์กรเครือข่าย จัดให้มีเวทีรับฟังความเห็นจากประชาชนทั้งสิ้น 5 ภูมิภาค โดยดำเนินการไปแล้ว 2 ภูมิภาค ได้แก่ (1) พื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2567 ณ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กรุงเทพมหานคร (2) พื้นที่ภาคเหนือ เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2567 ณ โรงแรมไอบิส สไตล์ เชียงใหม่ และหลังจากนี้ จะมีการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในอีก 3 ภูมิภาค ได้แก่ (1) พื้นที่ภาคตะวันออก ในวันที่ 7 กันยายน 2567 ณ คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา จังหวัดชลบุรี (2) พื้นที่ภาคใต้ ในวันที่ 13 กันยายน 2567 ณ มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง จังหวัดพัทลุง และ (3) พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในวันที่ 20 กันยายน 2567 ณ จังหวัดขอนแก่น โดยขอเชิญผู้สนใจภาคส่วนต่าง ๆ เข้าร่วมให้ความเห็นได้ในวัน เวลา และสถานที่ข้างต้น หรือผ่านระบบออนไลน์ โดยสามารถติดตามรายละเอียดได้ทางเฟซบุ๊กแฟนเพจสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

 

สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

6 กันยายน 2567

ไฟล์เอกสารที่เกี่ยวข้อง
เลื่อนขึ้นด้านบน