เลขาธิการ กสม. ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความท้าทายของสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการดำเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบและเคารพสิทธิมนุษยชนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประจำปี 2568

30/09/2568 64

          เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2568 ที่ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพมหานคร นางสาวหรรษา  หอมหวล เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (เลขาธิการ กสม.) เข้าร่วมการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการดำเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบและเคารพสิทธิมนุษยชนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประจำปี 2568 (United Nations Responsible Business and Human Rights Forum (UNRBHRF), Asia-Pacific 2025) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-19 กันยายน 2568 ภายใต้แนวคิดพัฒนาการและการผสานพลังความเป็นผู้นำด้านสิทธิมนุษยชนในระดับภูมิภาคเพื่อข้ามผ่านวิกฤต ประกอบด้วยกิจกรรมการประชุมและเสวนากลุ่มเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นที่ยังเป็นข้อท้าทายของการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ โดยในห้วงการประชุมดังกล่าว เลขาธิการ กสม. ได้ร่วมเป็นวิทยากรเสวนาในหัวข้อ “การตรวจสอบอย่างรอบด้านในห่วงโซ่อุปทานเอเชียตะวันออกเฉียงใต้: มุมมองว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนในฐานะประเด็นข้ามพรมแดน (Due Diligence in Southeast Asian Supply Chains: Perspectives on BHR As a Transboundary Issue)” และหัวข้อ “กลไกการรับเรื่องร้องเรียนนำไปสู่การเยียวยาที่แท้จริงได้หรือไม่ (Fixing it or faking it? How grievance mechanisms can deliver real remedies)”

          สำหรับการเสวนาในหัวข้อ “การตรวจสอบอย่างรอบด้านในห่วงโซ่อุปทานเอเชียตะวันออกเฉียงใต้: มุมมองว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนในฐานะประเด็นข้ามพรมแดน” มุ่งเน้นให้วิทยากรอภิปรายแบ่งปันประสบการณ์และข้อท้าทายของสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่มีต่อการจัดการปัญหาแรงงานโยกย้ายถิ่นฐาน โดยประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของฟิลิปปินส์ได้กล่าวถึงปัญหาการละเมิดสิทธิแรงงานที่ปรากฏบ่อยครั้งในกระบวนการรับเข้าทำงาน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการประมงและปาล์มน้ำมัน รวมทั้งความซับซ้อนของการเข้าถึงการเยียวยาเมื่อแรงงานกลุ่มชาติพันธุ์เป็นผู้ถูกละเมิด อีกทั้งนำเสนอว่ากลไกการไต่สวนสาธารณะระหว่างสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติอาจช่วยเติมเต็มช่องว่างของการแก้ไขปัญหาและเสนอแนะการเยียวยาผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนจากการดำเนินธุรกิจที่มีผลกระทบข้ามพรมแดนได้

เลขาธิการ กสม. กล่าวถึงปัญหาที่แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านที่เข้ามาทำงานในไทยเผชิญอยู่ เช่น การถูกเอารัดเอาเปรียบจากบริษัทจัดหางาน การได้รับค่าจ้างต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ การเข้าไม่ถึงสวัสดิการสังคมเนื่องจากนายจ้างไม่จ่ายเงินสมทบกองทุนประกันสังคม และการเข้าไม่สิทธิขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุขสำหรับแรงงานนอกระบบ ซึ่งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรุงเทพมหานคร เพื่อช่วยให้แรงงานข้ามชาติเข้าถึงสิทธิดังกล่าว สำหรับกลไกการไต่สวนสาธารณะระหว่างสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กสม. ยินดีให้ความร่วมมือผ่านการแลกเปลี่ยนข้อมูลในส่วนที่เกี่ยวข้องภายในขอบเขตอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายจัดตั้ง กสม.

          ส่วนการเสวนาในหัวข้อ “กลไกการรับเรื่องร้องเรียนนำไปสู่การเยียวยาที่แท้จริงได้หรือไม่” มีวิทยากรร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับแนวทางและลักษณะของกลไกการเยียวยาที่มีประสิทธิภาพ ผ่านประสบการณ์ในฐานะผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน นักลงทุน องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศ และสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยผู้ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือผู้เสียหายต้องเข้าถึงกระบวนการเยียวยาโดยปราศจากความกลัวว่าจะถูกตอบโต้กลั่นแกล้ง ซึ่งภาคธุรกิจและนักลงทุนต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อการสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อความไว้วางใจและความเชื่อมั่นของผู้เสียหายต่อกลไกการรับเรื่องร้องเรียน ทั้งนี้ ควรสนับสนุนการเข้าถึงที่ปรึกษากฎหมายที่เป็นอิสระและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ การมีศูนย์ประสานงาน (National Contact Point: NCP) ภายใต้แนวปฏิบัติขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) เพื่อทำหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ได้รับผลกระทบจากความไม่รับผิดชอบของภาคธุรกิจ เป็นอีกกลไกหนึ่งที่นำไปสู่ข้อยุติและการชดเชยเยียวยาโดยการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายได้ ขณะที่สถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีภารกิจคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน โดยมีกลไกการรับเรื่องร้องเรียนและเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนไปยังภาครัฐและภาคธุรกิจ

          ทั้งนี้ เลขาธิการ กสม. ได้ยกตัวอย่างกรณีโครงการก่อสร้างอาคารพาณิชย์ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนและชุมชนใกล้เคียง ซึ่ง กสม. ได้รับเรื่องร้องเรียนและจัดประชุมหารือกับผู้มีส่วนได้เสีย จนนำไปสู่การแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การตั้งกลไกเยียวยาโดยบริษัทเจ้าของโครงการ (operational grievance mechanism) เพื่อรับทราบปัญหาความเดือดร้อนจากชุมชนและสื่อสารเกี่ยวกับการดำเนินการของบริษัทเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น กรณีดังกล่าวสะท้อนถึงความสำคัญของกลไกเยียวยาโดยผู้ประกอบการที่ช่วยให้เกิดการสื่อสารทำความเข้าใจ การสร้างความเชื่อมั่น และการมีส่วนร่วม ส่งผลให้ธุรกิจและชุมชนอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน

เลื่อนขึ้นด้านบน