สำนักงาน กสม. พื้นที่ภาคอีสานร่วมกับ ThaiPBS จัดเวที ฟังเสียงประเทศไทย เพื่อประมวลสถานการณ์สิทธิมนุษยชนและรับฟังข้อเสนอแนะจากเหตุการณ์ปะทะกันในพื้นที่แนวชายแดนไทย – กัมพูชา ณ จ.ศรีสะเกษ และจ.สุรินทร์

25/09/2568 71

          เมื่อวันที่ 22-23 กันยาน 2568 สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (สำนักงาน กสม. พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) โดยการประสานความร่วมมือกับ สำนักเครือข่ายและการมีส่วนร่วมสาธารณะ ThaiPBS จัดเวที ฟังเสียงประเทศไทย เพื่อประมวลสถานการณ์สิทธิมนุษยชนและรับฟังข้อเสนอแนะจากเหตุการณ์ปะทะกันในพื้นที่แนวชายแดนไทย – กัมพูชา ณ จังหวัดศรีสะเกษและจังหวัดสุรินทร์ โดยรูปแบบเวทีเป็นการชวนผู้แทนชุมชน ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ และผู้มีส่วนร่วมในพื้นที่ทั้ง นักวิชาการ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และเครือข่ายภาคประชาชน มาร่วมวงสนทนา เพื่อระดมความเห็น ทบทวนหาบทเรียน การปฏิบัติงานและการบริหารจัดการในประเด็นสิทธิมนุษยชน วิเคราะห์ผลกระทบ และออกแบบแนวทางคุ้มครองสิทธิมนุษยชนคนชายแดนอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้บริบทชุมชน ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ และกรอบกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ทุกเสียงในพื้นที่ชายแดนมีส่วนร่วมและได้รับการคุ้มครองอย่างแท้จริง และเพื่อนำข้อมูลไปใช้ประกอบการจัดทำรายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชน และพัฒนาเป็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่ต่อไป โดยมีผู้เข้าร่วมจากทั้ง 2 เวทีในจังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดสุรินทร์ มากกว่า 100 คน และมีประเด็นการพูดคุยและข้อเสนอที่น่าสนใจ ดังนี้

          วันที่ 22 กันยายน 2568 จัดเวที ณ วิทยาลัยกฎหมายและการปกครอง มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ  จังหวัดศรีสะเกษ โดยมีผู้เข้าร่วมประกอบด้วย ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา ผู้นำชุมชนและประชาชนที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ ได้ร่วมกันสะท้อนถึงสถานการณ์ที่ผ่านมา ซึ่งแม้ภาครัฐจะได้มีแผนเตรียมการรับมือไว้แล้ว แต่เมื่อสถานการณ์ขยายความรุนแรงในวงกว้างและรวดเร็ว ทำให้เกิดความแตกตื่นและเกิดอุปสรรคด้านการสื่อสารเพื่อรับมือสถานการณ์ ทั้งความชัดเจนในด้านการประสานข้อมูลระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนจิตอาสาที่ให้การช่วยเหลือ ความล่าช้าในการรับข้อมูลข่าวสารจากราชการ และปัญหา fake news การสร้างข่าวปลอมเพื่อให้เกิดกระแสความตื่นตระหนก โดยการบริหารจัดการศูนย์อพยพในช่วงแรกยังขาดการบูรณาการร่วมกันด้านข้อมูลและผู้ปฏิบัติงานที่ไม่เพียงพอ อีกทั้งยังติดขัดในข้อกฎหมาย ทำให้เป็นอุปสรรคในการช่วยเหลือศูนย์อพยพต่าง ๆ ได้อย่างทั่วถึง ในขณะที่การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ หลายฝ่ายมองว่ายังไม่มีความชัดเจน ไม่ครอบคลุมและไม่คุ้มค่ากับความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง และจำเป็นต้องยกระดับการฟื้นฟูเยียวยา ด้านสภาพจิตใจและการศึกษาของเด็กที่ต้องออกแบบให้สามารถรับมือกับสถานการณ์พิเศษในพื้นที่ได้ ทั้งนี้ข้อเสนอในภาพรวมของเวทีคือ การแก้ไขและออกแบบให้เกิดกฎหมายในพื้นที่สถานการณ์พิเศษ เพื่อให้เกิดการปลดล็อคทั้งอำนาจหน้าที่ งบประมาณ ผู้ปฏิบัติงานในการช่วยเหลือสนับสนุนประชาชน และกระบวนการจัดการที่ยืดหยุ่นคล่องตัว

          วันที่ 23 กันยายน 2568 จัดเวที ณ มูลนิธิพัฒนาอีสาน (Net Foundation) อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์  ผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบใกล้พื้นที่แนวหน้า หลายครัวเรือนอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเผชิญกับความหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถดำรงชีวิตและประกอบอาชีพได้ตามวิถีปกติ ซึ่งส่งผลให้เกิดความเสียหายทั้งด้านเศรษฐกิจและสภาพจิตใจ ในขณะที่การบริหารจัดการศูนย์อพยพพบว่า วัด ประชาชนและจิตอาสากลายเป็นผู้มีบทบาทหลักในการช่วยเหลือ เนื่องจากข้อจำกัดด้านระเบียบการใช้งบประมาณและบุคลากรของภาครัฐ อีกทั้งแนวทางและระเบียบในการสนับสนุนอาสาสมัครและผู้ปฏิบัติงานที่ช่วยเหลือดูแลชาวบ้านในพื้นที่ยังไม่เอื้อให้เกิดความคล่องตัว และยังพบปัญหาการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้ป่วยติดเตียง คนพิการ และเด็กอ่อนแรกเกิด ผู้ป่วยจิตเวชที่มีความต้องการสิ่งอุปโภค บริโภคในการดูแลเป็นพิเศษ ทั้งในระหว่างการอพยพช่วยเหลือและการพักพิงในที่ปลอดภัย โดยในเวทีชาวบ้านยังมีความกังวลใจต่อปัญหาตัวเลขการเยียวยาที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง และการเตรียมตัวเพื่อรับมือในสถานการณ์ความไม่แน่นอนที่ไม่รู้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ทั้งนี้นอกจากการเร่งให้รัฐเยียวยาแก้ไขปัญหาแล้ว ข้อเสนอพิเศษในเวที คือ การร่วมกันออกแบบแผนเผชิญเหตุที่เหมาะสมกับพื้นที่ เพื่อการรับมือต่อปัญหาที่คล่องตัว ตลอดจนสร้างคู่มือการปฏิบัติเมื่อต้องเจอสถานการณ์พิเศษที่มีความรุนแรง

          กิจกรรมดังกล่าว นายภพธรรม  สุนันธรรม ผู้อำนวยการสำนักงาน กสม.พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้เข้าร่วมในการพูดคุยในทั้ง 2 เวที เพื่อเน้นย้ำหลักการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ความรุนแรง ซึ่ง คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองพลเรือนให้เป็นไปตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (international humanitarian law: IHL) โดยเฉพาะอนุสัญญาเจนีวาและธรรมนูญกรุงโรม โดยผู้ได้รับผลกระทบอาจแบ่งได้เป็นผู้อพยพพลัดถิ่นในประเทศ ซึ่งต้องละทิ้งที่อยู่อาศัยเป็นการชั่วคราว และพลเรือนในพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ซึ่งต้องให้ความสำคัญในการช่วยเหลือเป็นลำดับต้น ๆ เช่น เด็ก ผู้หญิง ผู้สูงอายุ และคนพิการ ที่ต้องการการดูแลอย่างเหมาะสมและเร่งด่วนในช่วงเวลาที่ท้าทาย ท่ามกลางสงครามและความขัดแย้ง ทั้งยังต้องเร่งหยุดการสร้างความเกลียดชังทางเชื้อชาติ ไม่ส่งต่อและไม่ยอมรับการสร้างความเกลียดชังทางเชื้อชาติต่อผู้คนซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับความขัดแย้งตามแนวชายแดน ตลอดจนยุติการสร้างข่าวปลอม ข้อมูลลวง และข้อมูลอันเป็นเท็จทุกรูปแบบ ที่นำไปสู่การยั่วยุปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชัง ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการเจรจาทางการทูตและการสร้างความร่วมมือในการแก้ปัญหาด้านความมั่นคงบริเวณชายแดน โดยขอให้สังคมรวมทั้งสื่อมวลชนร่วมกันสร้างปัญญารวมหมู่ที่รู้เท่าทันสื่อ รับและส่งต่อข้อมูลข่าวสารอย่างมีสติ ตรวจสอบข้อมูลที่อาจเป็นเท็จทุกครั้ง ใช้สื่อทุกแพลตฟอร์มอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมและคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุกคน

          นอกจากการรับฟังเสียงของผู้คนในเวทีแล้ว กิจกรรมดังกล่าวยังได้มีการจัดทำแบบสอบถามเพื่อออกสำรวจข้อมูลของผู้คนในพื้นที่ชายแดนเกี่ยวกับผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มสถานการณ์ความรุนแรงจนถึงปัจจุบัน ตลอดจนความกังวลใจและประเด็นที่อยากให้เกิดการแก้ปัญหาในพื้นที่ ทั้งในระยะเร่งด่วน ระยะปานกลาง และระยะยาว ซึ่งจะได้มีการรวบรวมเพื่อมาประมวลสรุปเป็นรายงานผลกระทบและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่เป็นรูปธรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจะได้ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจเพื่อให้เกิดการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนแก่ผู้คนตามแนวชายแดนต่อไป

 

 

 

 

 

 

เลื่อนขึ้นด้านบน