สำนักงาน กสม. อีสาน ลงพื้นที่สังเกตุการณ์สิทธิมนุษยชน กรณี การชุมนุมของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการประกอบกิจการเหมืองแร่โปแตช จังหวัดนครราชสีมา

15/05/2568 224

            เมื่อวันที่ 6 - 8 พฤษภาคม 2568 เจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (สำนักงาน กสม. พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ได้รับการประสานจากเจ้าหน้าที่โครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านทรัพยากรแร่ และองค์กรโพรเทคชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ให้เข้าร่วมสังเกตการณ์สิทธิมนุษยชนในการชุมนุมของกลุ่มนักปกป้องสิทธิมนุษยชน “ฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด” ซึ่งเป็นประชาชนในพื้นที่ ต.หนองไทรและต.หนองบัวตะเกียด ซึ่งได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่โปแตชในพื้นที่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ภายใต้ชื่อกิจกรรมการชุมนุม “เราจะบล็อค ก่อนบ้านจะบึ้ม”

            โดยตลอดทั้ง 3 วัน ผู้ชุมนุมกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด จากตำบลหนองไทร และตำบลหนองบัวตะเกียด อ.ด่านขุนทด ได้เคลื่อนขบวนมารวมกันบริเวณวัดหนองไทร ตำบลหนองไทร และเคลื่อนขบวนต่อไปตามถนนสาธารณะและปักหลักการชุมนุมบริเวณสี่แยกดอนหนองโพธิ์ ตรงข้ามทางเข้าบริษัทเอกชนที่ประกอบกิจการเหมืองแร่โปแตชในพื้นที่ โดยมีการตั้งเวทีจัดกิจกรรมแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เพื่อคัดค้านการประกอบกิจการเหมืองแร่โปแตช และมีการส่งผู้แทนขึ้นสลับกันปราศรัยถึงผลกระทบด้านสิทธิชุมชน สิ่งแวดล้อม สิทธิในที่ดินทำกิน ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ เกษตรกรรม การดำรงชีวิตตามวิถีดั้งเดิม ซึ่งสูญเสียไปภายหลังจากมีการทำเหมืองแร่ในพื้นที่ ทั้งยังมีการสะท้อนถึงปัญหาการปฏิบัติของหน่วยงานภาครัฐและท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องที่ทำให้ประชาชนในพื้นที่ไม่สามารถใช้สิทธิชุมชนได้อย่างเต็มที่

            นอกจากนี้แล้วยังมีกิจกรรมเวทีวิชาการเพื่อให้ข้อมูลความเป็นมาและสถานการณ์ของการประกอบกิจการเหมืองแร่ในพื้นที่ปัจจุบัน กิจกรรมประเมินการทำงานของหน่วยงานรัฐ กิจกรรมการใช้บทเพลงพื้นบ้านมาขับร้องเพื่อคัดค้านการทำเหมืองแร่ กิจกรรมการตอบคำถามข้อสงสัยในโลกออนไลน์เรื่องการคัดค้านการทำเหมืองแร่ กิจกรรมการชักธงเชิงสัญลักษณ์เพื่อคัดค้านการใช้ระเบิดเจาะอุโมงค์ทำเหมืองในพื้นที่ดอนหนองโพธิ์ทั้งนี้ ในระหว่างกิจกรรมยังมีผู้ชุมนุมจากหลากหลายเครือข่ายเดินทางมาเข้าร่วมสนับสนุนและให้กำลังใจการชุมนุมของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด เช่น มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW) สมาคมคนรุ่นใหม่กับนวัตกรรมทางสังคม (SYSI) อาสาสมัครนักวิจัยไทบ้านจากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม กลุ่ม Empower กลุ่มรักษ์ลำคอหงส์ ที่บ้านเรือนได้รับผลกระทบจากการขุดเจาะสำรวจแร่โปแตช กลุ่มอนุรักษ์เขาเหล่าใหญ่-ผาจันได ตำบลดงมะไฟ กลุ่มรักษ์ภูซำผักหนาม ลุ่มน้ำเซิน บ่เอาเหมืองแร่ และสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ เป็นต้น โดยภายหลังจากการชุมนุมวันสุดท้ายกลุ่มนักปกป้องสิทธิมนุษยชน “ฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด”ได้มีการประกาศเจตนารมณ์และแถลงการณ์เพื่อเรียกร้องให้บริษัทที่ประกอบกิจการในพื้นที่ยุติการเดินหน้าขุดเจาะอุโมงค์ในพื้นที่ใหม่และกลับมาเยียวยาประชาชนผู้ได้รับผลกระทบโดยชดใช้ความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศที่เกิดขึ้นจากการทำเหมืองโปแตชโดยอุโมงค์เดิมให้เท่ากับความรุนแรงกับผลกระทบที่เกิดขึ้น พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลและบริษัทเอกชนที่เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหม่ ยุติการดำเนินการใดๆ อันจะนำไปสู่การระเบิดเพื่อขุดเจาะอุโมงค์ใหม่ในพื้นที่

            ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่สำนักงาน กสม.พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้เข้าร่วมสังเกตการณ์สิทธิมนุษยชนในกิจกรรมต่าง ๆ และได้รับเชิญเพื่อให้ความรู้และแนะนำผู้ชุมนุมเกี่ยวกับการใช้สิทธิในเสรีภาพการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธซึ่งถือเป็นสิทธิมนุษยชนที่รับรองไว้ตามกติกาและมาตราฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 และตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 โดยรัฐต้องมีหน้าที่ในการคุ้มครองดูแลให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิดังกล่าวได้ พร้อมทั้งได้แจ้งบทบาทการปฏิบัติหน้าที่สังเกตการณ์ในการรวบรวมข้อมูลด้านสิทธิมนุษยชนในกิจกรรมการชุมนุม ซึ่งจะได้มีการบันทึกข้อมูล รวบรวมข้อเท็จจริง ที่เป็นการขัดขวางและละเมิดการใช้สิทธิในการชุมนุม และมีการประสานงานกับหน่วยงานในพื้นที่เพื่อให้เกิดการปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชนตามหน้าที่และอำนาจของผู้เกี่ยวข้องต่อไป นอกจากนี้ยังได้ร่วมสังเกตการณ์ กรณีตัวแทนกลุ่มผู้ชุมนุมเดินทางไปที่สถานีตำรวจภูธรด่านขุนทด เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษเพื่อขอให้มีการตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายต่อกรณีมีผู้ลักลอบนำกองดินมากีดขวางเส้นทางสัญจรในการชุมนุมวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 ซึ่งส่งผลกระทบต่อการสัญจรของประชาชนและผู้ชุมนุมอันเป็นการใช้สิทธิตามที่ได้รับการรับรองไว้ในกฎหมาย

            ทั้งนี้ สำนักงาน กสม. พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะได้ติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด พร้อมรวบรวมข้อเท็จจริงอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อประมวลเป็นความเห็นเบื้องต้นประกอบการจัดทำรายงานตามหน้าที่และอำนาจในการคุ้มครองและเฝ้าระวังสถานการณ์ปัญหาผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนต่อไป

เลื่อนขึ้นด้านบน