วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 10.30 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ และนางสาวศยามล ไกยูรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ครั้งที่ 5/2565 โดยมีวาระสำคัญ ดังนี้
1. กสม. ตรวจสอบกรณีการนำเสนอข่าวสารที่กระทบศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของกลุ่มหลากหลายทางเพศ แนะ กสทช. เร่งจัดทำแนวทางการนำเสนอเนื้อหาของสื่อมวลชนที่เคารพอัตลักษณ์ทางเพศ
ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนหลายกรณีระหว่างเดือนพฤษภาคม – กรกฎาคม 2564 กล่าวอ้างว่า สถานีโทรทัศน์เคเบิ้ลทีวีแห่งหนึ่งและสำนักข่าวแห่งหนึ่งเสนอข่าวสารโดยพาดหัวข่าวด้วยถ้อยคำที่อาจกระทบต่ออัตลักษณ์และศักดิ์ศรีของกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ เช่น “รวบสาวสอง ค้ากามเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี” “จับกะเทยฆ่าสาวทอม” “มีสาวประเภทสองรุมทำร้าย” ซึ่งเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ รวมทั้งเป็นการสร้างความเกลียดชังต่อกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศในสังคม จึงขอให้ตรวจสอบ กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2565 ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย บทบัญญัติของกฎหมายและหลักสิทธิมนุษยชนแล้วเห็นว่า บุคคลย่อมมีสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว เกียรติยศ ชื่อเสียง และครอบครัว การกระทำอันเป็นการละเมิด หรือกระทบต่อสิทธิของบุคคล หรือการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ประโยชน์ไม่ว่าในทางใด ๆ จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเพียงเท่าที่จำเป็นเพื่อประโยชน์สาธารณะ ทั้งนี้ บุคคลซึ่งประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนย่อมมีเสรีภาพในการเสนอข่าวสาร แต่การดำเนินการต่าง ๆ จำเป็นต้องคำนึงถึงสิทธิของบุคคลดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นด้วย
จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงปรากฏว่าสถานีเคเบิ้ลทีวีผู้ถูกร้องได้เสนอข่าวที่มีข้อความตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้างจริง แต่ยังไม่อาจถือได้ว่ามีการผลิตซ้ำและต่อเนื่อง จนถึงขนาดที่ทำให้สังคมเกิดอคติต่อกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ ประกอบกับภายหลังได้รับการร้องเรียน ผู้ถูกร้องได้แก้ไขการนำเสนอข่าวสารที่มีเนื้อหาดังกล่าวแล้ว ขณะที่สำนักข่าวผู้ถูกร้องอีกแห่ง จากการตรวจสอบไม่ปรากฏข้อเท็จจริงตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง ในชั้นนี้จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่าผู้ถูกร้องทั้งสองกระทำการอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
อย่างไรก็ดี เพื่อเป็นการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน กสม. จึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะไปยังสถานีเคเบิ้ลทีวีผู้ถูกร้อง สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และ รัฐสภา ดังนี้
1) สถานีเคเบิ้ลทีวีผู้ถูกร้องในฐานะผู้ประกอบวิชาชีพสื่อ ต้องไม่นำเสนอหัวข่าว ความนำ และภาพประกอบจนทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนไปจากสาระสำคัญของข่าว และต้องนำเสนอข่าวโดยคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลที่ตกเป็นข่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องระมัดระวังการใช้ถ้อยคำเกี่ยวกับกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศด้านอัตลักษณ์ รวมทั้งควรปฏิบัติตามข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรมแห่งวิชาชีพสื่อมวลชน สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ พ.ศ. 2564 และแนวปฏิบัติสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ เรื่อง การเสนอข่าว ความคิดเห็น และภาพเกี่ยวกับผู้มีความหลากหลายทางเพศ พ.ศ. 2564 อย่างจริงจัง
2) ให้สำนักงาน กสทช. จัดทำและผลักดัน (ร่าง) แนวทางในการนำเสนอเนื้อหารายการเกี่ยวกับกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ โดยให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและเทคโนโลยี และเผยแพร่แนวทางในการนำเสนอเนื้อหารายการฉบับดังกล่าว รวมทั้งกรณีข้อร้องเรียนที่ กสทช. ได้พิจารณาแล้วเห็นว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่เหมาะสมให้สื่อมวลชน องค์กรสื่อ และองค์กรที่ควบคุมดูแลหรือกำกับดูแลสื่อทุกแขนงได้รับทราบทั่วกัน
3) ให้รัฐสภาเร่งผลักดันร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน ซึ่งมีหลักการสำคัญในการคุ้มครองเสรีภาพของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน และมุ่งส่งเสริมและพัฒนาจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน อันจะเป็นการคุ้มครองสิทธิของประชาชนไปพร้อมกัน
2. กสม. มีข้อเสนอแนะถึงกรมอุทยานแห่งชาติฯ – ครม. ประเมินการบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่อนุรักษ์ ย้ำต้องตีความในทางที่รับรองสิทธิชุมชนเป็นหลัก
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2565 ได้พิจารณารายงานข้อเสนอแนะแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนเกี่ยวกับกฎหมายลำดับรองประกอบพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ซึ่ง กสม. หยิบยกขึ้นพิจารณา สืบเนื่องจากเมื่อปี 2563 - 2564 กสม. ได้รับคำร้องจากประชาชนในหลายพื้นที่ซึ่งมีที่อยู่อาศัยและทำกินในเขตป่าอนุรักษ์ เกี่ยวกับการสำรวจการถือครองที่ดินตามบทเฉพาะกาลของพระราชบัญญัติทั้งสองฉบับ โดยผู้ร้องกล่าวอ้างว่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้กำหนดแนวทางปฏิบัติในการสำรวจพื้นที่ของประชาชนโดยไม่ให้อุทยานแห่งชาติแต่ละแห่งสำรวจการถือครองที่ดินของประชาชนในพื้นที่ที่อยู่ในระหว่างการดำเนินคดีหรือเคยถูกดำเนินคดี ทำให้มีพื้นที่ของประชาชนหลายรายไม่ได้เข้าสู่กระบวนการสำรวจการถือครองที่ดิน นอกจากนี้ กสม. ยังได้รับคำร้องเกี่ยวกับกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนต่อร่างกฎหมายลำดับรองที่ออกตามความในพระราชบัญญัติทั้งสองฉบับ กล่าวอ้างว่า วิธีการรับฟังความคิดเห็นของกรมอุทยานแห่งชาติฯ ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตเป็นอุปสรรคต่อการแสดงความคิดเห็นของประชาชนที่อาศัยและทำกินในเขตป่าอนุรักษ์ในพื้นที่ห่างไกลหลายพันครัวเรือนด้วย
กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่า ถึงแม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยรับรองสิทธิบุคคลและชุมชนในการใช้ประโยชน์จากฐานทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุลและยั่งยืน แต่การบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการป่าไม้ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันยังไม่สอดคล้องกับหลักกฎหมายสูงสุด อันทำให้เกิดข้อพิพาทระหว่างรัฐกับประชาชนที่อยู่อาศัยและทำกินทับซ้อนกับเขตอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า หรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่า (เขตป่าอนุรักษ์) ทั้งพื้นที่ป่าและพื้นที่ทางทะเล ซึ่งรัฐใช้การไล่รื้อให้ประชาชนออกจากพื้นที่และการจับกุมดำเนินคดีอาญา ส่วนการเคารพในหลักสิทธิชุมชนที่ต้องมีส่วนร่วมในการจัดการ บำรุงรักษา และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุลและยั่งยืนในเขตอนุรักษ์นั้นกลับกลายเป็นข้อยกเว้นผ่านกระบวนการพิสูจน์สิทธิที่รัฐกำหนดขึ้น ซึ่งการพิสูจน์สิทธินั้นไม่ได้ดำเนินการครบทุกพื้นที่ทั่วประเทศและยังอยู่บนสมมติฐานว่าผู้ใช้ประโยชน์ในที่ดินจะต้องทำกินต่อเนื่องบนพื้นที่แปลงเดิมตลอดไป ซึ่งไม่สอดคล้องกับวิถีวัฒนธรรมของชุมชนและกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใช้ประโยชน์ในที่ดินแบบแปลงรวม มีการทำไร่หมุนเวียนและมีการอพยพเคลื่อนย้ายในการทำไร่และตั้งถิ่นฐาน นำไปสู่การดำเนินคดีอาญาที่ทำให้ประชาชนสูญเสียเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย
อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยปัจจุบันได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 แทนกฎหมายฉบับเดิม โดยกฎหมายดังกล่าวได้กำหนดให้มีการจัดทำโครงการเกี่ยวกับการอนุรักษ์และดูแลทรัพยากรธรรมชาติภายในเขตป่าอนุรักษ์ ซึ่งจะทำให้ประชาชนที่มีคุณสมบัติและถือครองที่ดินในห้วงเวลาที่กำหนดตามกฎหมาย สามารถใช้ประโยชน์ในพื้นที่ที่ได้รับจัดสรรได้โดยไม่ต้องรับโทษทางอาญา รวมทั้งทำให้ประชาชนที่อยู่รอบเขตป่าอนุรักษ์สามารถเก็บหาหรือใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติได้ อย่างไรก็ดีเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายทั้งสองฉบับเป็นการคุ้มครองสิทธิของบุคคลและชุมชนตามมาตรา 43 ของรัฐธรรมนูญฯ และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิเศรษฐกิจและสังคม กสม. จึงมีข้อเสนอในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง ดังนี้ต่อไปนี้
1.) ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรภายในอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าหรือเขตห้ามล่าสัตว์ป่า พ.ศ. ....
(1) ให้มีการจัดตั้ง “คณะกรรมการชุมชน”ขึ้น ในโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติฯ เพื่อให้ชุมชนร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหัวหน้าเขตอุทยานแห่งชาติฯ มีส่วนร่วมกำหนดกฎกติกาของชุมชนในการบำรุงรักษา การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ อย่างมีความเข้าใจโดยตรงต่อการดำรงชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ โดยให้คณะกรรมการชุมชนมีหน้าที่และอำนาจในเขตพื้นที่ของโครงการฯ เช่น กำหนดคุณสมบัติและเงื่อนไขของบุคคลที่อยู่อาศัยหรือทำกินในเขตอุทยานแห่งชาติฯ การสิ้นสุดการอยู่อาศัยหรือทำกิน รวมทั้งผู้สืบสิทธิ ตลอดจนร่วมไต่สวนและรวบรวมข้อเท็จจริงกรณีมีข้อพิพาทเกิดขึ้นระหว่างผู้อยู่อาศัยหรือทำกินในพื้นที่โครงการฯ (2) ให้มีคณะกรรมการที่ปรึกษาพื้นที่คุ้มครอง (Protected Area Committees: PAC) ในพระราชกฤษฎีกาและแก้ไของค์ประกอบคณะกรรมการดังกล่าวให้มีองค์ประกอบจากส่วนราชการในจังหวัดเท่าที่จำเป็น และให้มีจำนวนกรรมการจากภาคเอกชนและภาคประชาสังคมในจังหวัดซึ่งเป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติสัดส่วน 2 ใน 3 ของจำนวนคณะกรรมการทั้งหมดแต่ไม่เกิน 25 คน (3) ให้มีเขตคุ้มครองทางวัฒนธรรม ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2553 เรื่อง แนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง และมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2553 เรื่อง แนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล โดยให้คณะกรรมการชุมชนกำหนดเขตพื้นที่วัฒนธรรมพิเศษ และจัดทำแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ของโครงการให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมการดำรงชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์
(4) การกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดของโครงการที่ให้ประชาชนถือครองและใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตป่าอนุรักษ์ได้ 20 ปี ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในการดำรงชีวิตที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น จึงควรกำหนดให้มีการติดตามและประเมินผลทุกสามปี และเมื่อครบกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการ 20 ปี หากมีการประเมินผลแล้วพบว่าบุคคลนั้นมีคุณสมบัติที่ยังอยู่อาศัยหรือทำกินในเขตป่าอนุรักษ์ได้ ก็อนุญาตให้อยู่อาศัยหรือทำกินในพื้นที่ของโครงการต่อไปได้ (5) คุณสมบัติของบุคคลที่อยู่อาศัยหรือทำกินในเขตป่าอนุรักษ์ เช่น กรณี “ผู้ยากไร้ ผู้มีรายได้น้อย และผู้ไร้ที่ดินทำกิน” ให้คณะกรรมการชุมชนเป็นผู้กำหนดว่าบุคคลใดเป็นผู้ยากไร้ ผู้มีรายได้น้อย และผู้ไร้ที่ดินทำกิน ซึ่งได้สิทธิในการอยู่อาศัยหรือทำกินในเขตป่าอนุรักษ์ (6) การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการอยู่อาศัยหรือทำกิน เห็นควรเสนอให้คณะกรรมการชุมชนร่วมกับสมาชิกของโครงการ กำหนดขนาดพื้นที่ถือครองเป็นรายครอบครัว หรือหลายครอบครัวที่ทำกินในแปลงเดียวกัน โดยกำหนดหลักเกณฑ์จำนวนขนาดพื้นที่ครอบครองอยู่เดิม และจำนวนพื้นที่ของโครงการที่ให้มีการกระจายการถือครองที่ดินของแต่ละครอบครัวในการดำรงชีพอยู่ได้และทั่วถึง
(7) การสิ้นสุดการอยู่อาศัยหรือทำกิน เห็นควรให้คณะกรรมการชุมชนมีส่วนร่วมและกำหนดหลักเกณฑ์อย่างเป็นธรรม (8) การกำหนดผู้สืบสิทธิ ควรให้ผู้มีอำนาจพิจารณาผู้สืบสิทธิเป็นคณะกรรมการชุมชน (9) การนับระยะเวลาของโครงการ เห็นควรให้เริ่มนับระยะเวลา 20 ปี ตั้งแต่วันที่คณะกรรมการชุมชนเห็นชอบในคุณสมบัติของบุคคลนั้น และ (10) การกำหนดบทเฉพาะกาลเพื่อแก้ไขปัญหาผู้ที่ถูกดำเนินคดีและแปลงคดีที่เกิดขึ้นก่อนพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 มีผลใช้บังคับ
2) ระเบียบกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ว่าด้วยการอยู่อาศัยหรือทำกินตามโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติเพื่อการดำรงชีพอย่างเป็นปกติธุระ พ.ศ. .... และระเบียบกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ว่าด้วยการเก็บหาหรือการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติที่สามารถเกิดใหม่ทดแทนได้ตามฤดูกาลในเขตพื้นที่โครงการอนุรักษ์และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน พ.ศ. .... และประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมว่าด้วยโครงการอนุรักษ์และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนในอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ....
เห็นว่า เนื่องจากแต่ละชุมชนมีความแตกต่างหลากหลายทางด้านวัฒนธรรม มีความแตกต่างด้านภูมิประเทศ สภาพอากาศ ชนิดของทรัพยากรธรรมชาติ พืชที่เพาะปลูก กำลังการผลิต รวมถึงระบบนิเวศน์ในระดับชุมชน เมื่อจัดตั้งคณะกรรมการชุมชนแล้ว จึงมีข้อเสนอแนะให้คณะกรรมการชุมชนมีบทบาทในการกำหนดว่าลักษณะใดเป็นการดำรงชีพโดยปกติธุระ และมีบทบาทในการเสนอรูปแบบรายละเอียดการดำเนินการซึ่งเป็นการใช้ประโยชน์ตามวัฒนธรรมและประเพณีของกลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อให้รายงานต่ออธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ให้ความเห็นชอบต่อไป รวมทั้งให้หัวหน้าเขตป่าอนุรักษ์จัดการประชุมร่วมกับ PAC และคณะกรรมการชุมชนเพื่อปรึกษาหารือกำหนดแนวทางและหลักเกณฑ์การบริหารจัดการพื้นที่ และทำข้อตกลงทางปกครองในการกำหนดแผนการดำเนินการของโครงการ กฎ กติกา ที่กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ตามที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการชุมชน และได้มีการปรึกษาหารือร่วมกับ PAC ทั้งนี้ ให้ข้อตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาทางปกครองที่มีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย
นอกจากข้อเสนอในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายลำดับรองแล้ว กสม. ยังมีข้อเสนอเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการให้ความเห็นต่อร่างกฎหมาย โดยเห็นควรให้กรมอุทยานแห่งชาติฯ จัดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากชุมชนในเขตป่าอนุรักษ์อย่างทั่วถึงในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งมีข้อเสนอเกี่ยวกับการตีความและการบังคับใช้พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดระยะเวลา 20 ปี ของโครงการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในเขตป่าอนุรักษ์ โดย กสม. เห็นว่า แม้ว่าบทบัญญัติของกฎหมายทั้งสองฉบับนี้จะกำหนดให้โครงการมีการสิ้นสุดอายุ แต่ไม่อาจตีความได้ว่าสิทธิของบุคคลและชุมชนในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ จะสิ้นสุดลงไปพร้อมกับโครงการดังกล่าว การตีความไปในลักษณะเช่นนั้น จะนำไปสู่การบังคับใช้กฎหมายที่มีโทษทางอาญาไล่รื้อหรือบังคับให้ประชาชนต้องเคลื่อนย้ายจากถิ่นฐาน อันทำให้เกิดข้อพิพาทไม่ต่างจากการใช้กฎหมายฉบับเดิมและเกิดปัญหาซ้ำซ้อนลงไปในปัญหาเชิงโครงสร้างเดิม
ดังนั้น เพื่อประโยชน์ในการประเมินผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตจากการบังคับใช้กฎหมาย กสม. จึงเห็นควรเสนอให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์กฎหมายของพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ภายใน 5 ปีนับแต่บังคับใช้กฎหมายโดยแก้ไขกฎหมายในการรับรองสิทธิชุมชน ทั้งนี้ ให้เสนอความเห็นข้างต้นนี้ ไปยังกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และหลักสิทธิมนุษยชนสากลต่อไป
ดาวน์โหลด PDF
เกี่ยวกับเรา
ย้อนกลับ
คณะกรรมการ
ประวัติความเป็นมา
หน้าที่และอำนาจ
ประวัติคณะกรรมการ
เป้าประสงค์ วิสัยทัศน์ พันธกิจ ยุทธศาสตร์และนโยบาย
ย้อนกลับ
สำนักงาน
ประวัติความเป็นมา
โครงสร้างหน่วยงาน
ผู้บริหาร
ค่านิยมองค์กร
การจัดการความรู้ในองค์กร (KM)
แผน/ผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณ
มาตรฐานทางจริยธรรม
ตราสัญลักษณ์และความหมาย
ย้อนกลับ
การประกาศนโยบาย
นโยบายเว็บไซต์
นโยบายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยเว็บไซต์
นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
นโยบายความเป็นส่วนตัว
นโยบายคุกกี้
เงื่อนไขการใช้บริการ
ย้อนกลับ
เกี่ยวกับเรา
ระบบงานภายในสำหรับเจ้าหน้าที่
คณะกรรมการ
สำนักงาน
การประกาศนโยบาย
คลังความรู้สิทธิมนุษยชน
ย้อนกลับ
สื่อประชาสัมพันธ์
สื่อสิ่งพิมพ์สำนักงาน กสม.
มุมมองสิทธิ์
เพลงเพื่อสิทธิมนุษยชน
สื่อวีดิทัศน์
สื่อวิทยุ
วารสาร
Infographic
Social Media
สื่อการเรียนรู้
สื่ออื่น ๆ
ย้อนกลับ
สิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
หลักการเกี่ยวกับสถานะของสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (หลักการปารีส)
พันธกรณีระหว่างประเทศ
แนวปฏิบัติ มาตรฐานและกฎหมายระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน
กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน
การประเมินสถานะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ย้อนกลับ
คลังความรู้สิทธิมนุษยชน
สื่อประชาสัมพันธ์
ธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน
สิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
สิทธิมนุษยชนศึกษา
คู่มือและแนวทางการปฏิบัติงานต่าง ๆ
ผลการศึกษา ผลงานวิจัย
การตรวจเยี่ยมเชิงป้องกัน
ผลการดำเนินงาน
ย้อนกลับ
รายงานผลการปฏิบัติงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
รายงานผลการปฏิบัติงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
บทสรุปผู้บริหาร รายงานผลการปฏิบัติงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ย้อนกลับ
รายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย
รายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย
บทสรุปผู้บริหารรายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย
แผนการจัดทำรายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย
รายงานข้อมูลสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ภูมิภาค
ย้อนกลับ
ข้อมูลสถิติต่าง ๆ
สถิติเรื่องร้องเรียน
ย้อนกลับ
รายงานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
รายงานด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ/ผลการประชุมอื่นๆ
ย้อนกลับ
ผลการดำเนินงาน
รายงานผลการปฏิบัติงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
รายงานผลการติดตามผลการดำเนินการด้านสิทธิมนุษยชน
รายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย
รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงิน
รางวัลนักสิทธิมนุษยชนดีเด่น
ข้อมูลสถิติต่าง ๆ
รายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน
มติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ด้านบริหาร
สรุปผลการประชุม/สัมมนา/เวทีทางวิชาการ/ระดมความคิดเห็น/การฝึกอบรม
บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU)
รายงานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
บริการประชาชน
ย้อนกลับ
แจ้งเรื่องร้องเรียนด้านสิทธิมนุษยชน
แนะนำการร้องเรียน
แจ้งเรื่องร้องเรียนด้านสิทธิมนุษยชนออนไลน์
ติดตามเรื่องร้องเรียน
ผังการให้บริการรับเรื่องร้องเรียนและการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
ย้อนกลับ
แจ้งข้อมูลอื่นๆ
รับฟังความคิดเห็น/ข้อเสนอแนะและติชมการให้บริการ
แจ้งข้อมูลสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชน
แจ้งเรื่องร้องเรียนการทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่สำนักงาน กสม.
ย้อนกลับ
การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสฯ (ITA)
เว็บไซต์เพื่อการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสฯ (ITA)
การส่งเสริมคุณธรรมและความโปร่งใส
การป้องกันการทุจริต
การเปิดโอกาสให้เกิดการมีส่วนร่วม
ย้อนกลับ
บริการประชาชน
แจ้งเรื่องร้องเรียนด้านสิทธิมนุษยชน
แจ้งข้อมูลอื่นๆ
บริการจดแจ้งองค์กรเอกชนด้านสิทธิมนุษยชนและสภาวิชาชีพ
ศูนย์สารสนเทศสิทธิมนุษยชน
ศูนย์ข้อมูลข่าวสารของราชการ
การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสฯ (ITA)
แบบฟอร์มออนไลน์
ดาวน์โหลดแบบฟอร์ม
ระบบบัญชีข้อมูลภาครัฐ
กฎหมาย
ย้อนกลับ
ระเบียบ ประกาศ แนวปฏิบัติ และคำสั่งของ กสม.
ระเบียบ กสม.
ประกาศ กสม.
แนวปฏิบัติ กสม.
คำสั่ง กสม.
ย้อนกลับ
ระเบียบ ประกาศ แนวปฏิบัติและข้อบังคับของสำนักงาน กสม.
ระเบียบ สำนักงาน กสม.
ประกาศ สำนักงาน กสม.
แนวปฏิบัติ สำนักงาน กสม.
ข้อบังคับ สำนักงาน กสม.
ย้อนกลับ
กฎหมาย
ร่างกฎหมายที่เปิดรับฟังความคิดเห็น
การประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
รัฐธรรมนูญ
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
พระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้อง
พระราชบัญญัติอื่น
ประมวลกฎหมาย
ประกาศองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ
มาตรฐานและข้อกำหนดทางจริยธรรม
ระเบียบ ประกาศ แนวปฏิบัติ และคำสั่งของ กสม.
ประกาศ เรื่อง การขึ้นทะเบียนผู้ทรงคุณวุฒิ
ระเบียบ ประกาศ แนวปฏิบัติและข้อบังคับของสำนักงาน กสม.
กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาพัสดุ
กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
หนังสือรวมกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
ข่าว
ย้อนกลับ
ข่าวจัดซื้อจัดจ้าง
แผนการจัดซื้อจัดจ้าง
ประกาศจัดซื้อจัดจ้าง
สรุปผลการจัดซื้อจัดจ้างรายเดือน/รายไตรมาส
สรุปผลการจัดซื้อจัดจ้างรายปี
พระราชบัญญัติ กฎกระทรวง และระเบียบ
หนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง
ระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (GProcurement)
คู่มือ/แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุ
ย้อนกลับ
ข่าว
ข่าว กสม. และเหตุการณ์สำคัญ
ข่าวสำนักงาน กสม.
ข่าวจัดซื้อจัดจ้าง
ข่าวสมัครงาน
ข่าวสำนักงาน กสม. พื้นที่ภาค
ข่าวฝากประชาสัมพันธ์
ติดต่อเรา
ย้อนกลับ
สำนักงาน กสม. (พื้นที่ภาค)
สำนักงาน กสม. พื้นที่ภาคใต้
สำนักงาน กสม. พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ย้อนกลับ
ติดต่อเรา
สำนักงาน กสม.
สำนักงาน กสม. (พื้นที่ภาค)
เว็บบอร์ด
สำนักงานพื้นที่ภาค
ย้อนกลับ
สำนักงานพื้นที่ภาค
เว็บไซต์ส่วนภูมิภาคภาคใต้
เว็บไซต์พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เว็บไซต์ส่วนภูมิภาคภาคเหนือ