วันที่ 24 มีนาคม 2565 เวลา 10.30 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และนายภาณุวัฒน์ ทองสุข ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ครั้งที่ 11/2565 โดยมีวาระสำคัญ ดังนี้
1. กสม. ชงข้อเสนอแนะต่อหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม กรณีการอายัดตัวผู้ต้องขังและดำเนินคดีล่าช้า เป็นเหตุให้ผู้ต้องขังเสียสิทธิประโยชน์ที่พึงได้ตามกฎหมาย
ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้พิจารณาเรื่องร้องเรียนจากกลุ่มผู้ต้องขังในเรือนจำ ระบุว่าพนักงานสอบสวนดำเนินคดีล่าช้า โดยเฉพาะกรณีที่มีการอายัดตัวผู้ต้องขังที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดในคดีอาญาอื่น โดยพนักงานสอบสวนไม่ได้เร่งรัดดำเนินการสอบสวนและสรุปสำนวนส่งให้พนักงานอัยการ แม้จะทราบว่าผู้ต้องหาถูกควบคุมตัวไว้ในเรือนจำ หรือพนักงานอัยการรับสำนวนการสอบสวนแล้วแต่ไม่สามารถนำตัวผู้ต้องหาไปฟ้องต่อศาลในเขตอำนาจศาลที่มีการกระทำความผิดได้ โดยความล่าช้าดังกล่าวส่งผลให้ผู้ต้องขังที่ถูกอายัดตัวไม่ได้รับสิทธิหรือประโยชน์ต่าง ๆ ที่พึงได้รับตามกฎหมายโดยเฉพาะประโยชน์ในการได้รับการลดวันต้องโทษ การได้รับพระราชทานอภัยโทษในโอกาสสำคัญ หรือการเข้ารับการบำบัดฟื้นฟู นั้น
กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่า สิทธิในกระบวนการยุติธรรม กรณีการดำเนินคดีล่าช้าอันเกี่ยวเนื่องกับการอายัดตัวมีผลกระทบต่อสิทธิผู้ต้องหาหรือจำเลย ซึ่งไม่สอดคล้องตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) และไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม ที่ถือว่าสิทธิในการได้รับการพิจารณาคดีโดยไม่ชักช้านั้นเป็นสิทธิในกระบวนการยุติธรรมขั้นพื้นฐานที่ทุกคนต้องได้รับ ประกอบกับในช่วงปี 2559 - 2564 กสม. ได้รับเรื่องร้องเรียนเรื่องการดำเนินคดีล่าช้าและการอายัดตัวจำนวน 231 เรื่อง จึงเห็นควรให้มีการศึกษาและรวบรวมข้อเท็จจริง เพื่อเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยพบว่าการดำเนินการที่ผ่านมายังมีปัญหาและอุปสรรคสำคัญหลายประการที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิของผู้ต้องหา ยกตัวอย่างเช่น
การเอาตัวบุคคลไว้ในอำนาจรัฐและการออกหมายจับ พบว่า ในทางปฏิบัติมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการเอาตัวผู้ต้องหาไว้ดำเนินคดี แต่โดยหลักการแล้วรัฐเป็นนิติบุคคลหนึ่งเดียว เมื่อมีการจับกุมผู้ต้องหาหรือคุมขังผู้ต้องหาไว้ในเรือนจำแล้วในคดีหนึ่ง จึงถือเป็นการเอาตัวบุคคลไว้ในอำนาจรัฐนั้นแล้ว ในกรณีที่ผู้ต้องหาถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดอาญาในคดีอื่นอีก พนักงานสอบสวนในคดีอื่นย่อมไม่มีเหตุจำเป็นที่จะออกหมายจับบุคคลเพื่อประโยชน์ในการสอบสวนอีก เนื่องจากพนักงานสอบสวนสามารถดำเนินการสอบสวนผู้ต้องหาที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำได้ทันที นอกจากนี้พนักงานสอบสวนควรตรวจสอบฐานข้อมูลสถานะของผู้ที่จะถูกออกหมายจับว่าบุคคลนั้นถูกจับแล้วหรือไม่ก่อนที่จะขอออกหมายจับ และไม่ว่าศาลจะพิจารณาออกหมายจับให้หรือไม่ ก็ไม่ควรเป็นเหตุให้พนักงานสอบสวนไม่เริ่มทำการสอบสวนผู้ต้องหาที่ถูกคุมขังไว้แล้ว
เงื่อนไขการสั่งฟ้องคดีของพนักงานอัยการ นอกจากปัญหาการเริ่มการสอบสวนที่ล่าช้าแล้ว พนักงานสอบสวนยังประสบปัญหาไม่อาจนำตัวผู้ต้องหาที่ถูกคุมขังในเรือนจำมาอยู่ในเขตอำนาจศาลของคดีอื่นที่มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เป็นเหตุให้พนักงานอัยการไม่อาจรับสำนวนการสอบสวนและไม่สามารถฟ้องคดีต่อศาลได้ ทำให้เกิดความล่าช้าในกระบวนการยุติธรรม ซึ่ง กสม. เห็นว่า ควรมีการแก้ไขระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดโดยเมื่อพนักงานอัยการทราบแล้วว่าผู้ต้องหาที่ถูกฟ้องได้ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำแล้วให้พนักงานอัยการรับสำนวนการสอบสวนไว้เพื่อพิจารณาและฟ้องคดีต่อศาลได้
ด้วยเหตุข้างต้นประกอบกับปัญหาและอุปสรรคอื่น ๆ ทั้งในชั้นพนักงานสอบสวน ชั้นอัยการ ชั้นศาล และในชั้นการดำเนินงานของกรมราชทัณฑ์ เช่น ความล่าช้าในการย้ายผู้ต้องขังไปดำเนินคดีในเรือนจำของเขตอำนาจศาลอื่น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2565 จึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน รวมทั้งข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย เพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องหา/ผู้ต้องขังให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนต่อคณะรัฐมนตรี กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานศาลยุติธรรม สรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้
1) คณะรัฐมนตรี ขอให้มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรม โดยคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ (กพยช.) ประสานความร่วมมือหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมเร่งรัดบันทึกข้อมูลของผู้ต้องหา/ผู้ต้องขังในระบบฐานข้อมูลศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลกระบวนการยุติธรรม (Data Exchange Center: DXC) เพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกัน พร้อมประสานความร่วมมือไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมราชทัณฑ์ สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานศาลยุติธรรม ในการใช้ฐานข้อมูลหรือส่งต่อข้อมูลร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
2) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอให้กำชับให้พนักงานสอบสวนตรวจสอบฐานข้อมูลสถานะของผู้ต้องหาก่อนที่จะขอออกหมายจับ และเร่งรัดดำเนินการสอบสวนในทันทีที่สามารถกระทำได้เนื่องจากผู้ต้องหาถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำแล้ว ทั้งนี้ หากพนักงานสอบสวนไม่รีบดำเนินการให้ถือเป็นความผิดเฉพาะตัว และให้พิจารณาแก้ไขคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 419/2556 เรื่อง การอำนวยความยุติธรรมในคดีอาญา การทำสำนวนการสอบสวน และมาตรการควบคุม ตรวจสอบ เร่งรัดการสอบสวนคดีอาญา บทที่ 4 ข้อ 4.4.2 วรรคสอง หากผู้ต้องหานั้นถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำแล้ว พนักงานสอบสวนไม่จำเป็นต้องขอออกหมายจับก่อนการประสานขออายัดตัว โดยให้เริ่มสอบสวนผู้ต้องหาที่เรือนจำในโอกาสแรก
3) สำนักงานอัยการสูงสุด ในกรณีที่ผู้ต้องหาถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำต่างท้องที่กับเขตอำนาจศาลที่พนักงานอัยการจะฟ้องคดีได้และคดีก่อนคำพิพากษายังไม่ถึงที่สุด เมื่อพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบเห็นว่าการสอบสวนเสร็จแล้ว และได้ส่งสำนวนการสอบสวนมาให้พนักงานอัยการแม้ไม่ได้มีการย้ายตัวผู้ต้องหามาอยู่ในเขตอำนาจศาลเดียวกันก็ตาม ให้พนักงานอัยการรับสำนวนการสอบสวนไว้เพื่อพิจารณาสั่งคดีและฟ้องคดีต่อศาลต่อไปได้ และในขั้นการสั่งฟ้องต่อศาล ให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่ถูกคุมขังอยู่แล้วในเรือนจำต่อศาลในเขตอำนาจที่มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น ซึ่งต่างท้องที่กับเรือนจำที่จำเลยถูกคุมขังอยู่ได้ด้วยวิธีการบรรยายฟ้องให้ศาลทราบว่าจำเลยนั้นถูกคุมขังอยู่แล้ว นอกจากนี้ สำนักงานอัยการสูงสุดควรพิจารณาแก้ไขระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. 2563 ข้อ 212 (2) ในคดีอื่นได้มีคำพิพากษาแต่คดียังไม่ถึงที่สุด ให้พนักงานอัยการรับสำนวนการสอบสวนไว้เพื่อพิจารณาและฟ้องคดีต่อศาลได้
4) สำนักงานศาลยุติธรรม ขอให้เสนอเรื่องต่อคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) ว่า การพิจารณาออกหมายจับ ให้ศาลตรวจสอบฐานข้อมูลสถานะของผู้ที่จะถูกออกหมายจับจากระบบฐานข้อมูลต่าง ๆ เช่น ระบบฐานข้อมูลศูนย์แลกเปลี่ยนข้อมูลกระบวนการยุติธรรม (DXC) ระบบฐานข้อมูลหมายจับ ระบบฐานข้อมูลหมายขัง หมายจำคุกและหมายปล่อย เพื่อใช้ข้อมูลประกอบดุลพินิจในการพิจารณาออกหมายจับด้วย และในชั้นพิจารณารับฟ้อง ให้สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอเรื่องต่อ ก.ต. แก้ไขเพิ่มเติมระเบียบในการพิจารณารับฟ้องของพนักงานอัยการได้โดยถือว่ามีตัวจำเลย (ซึ่งถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ) เพื่อดำเนินคดีแล้ว โดยหากศาลต้องการสอบถามจำเลยอาจดำเนินการโดยใช้การประชุมทางจอภาพหรือวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์อื่น หรือมีคำสั่งให้เรือนจำพาตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยมายังศาลได้ นอกจากนี้ ควรพิจารณาแก้ไขร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มาตรา 172/1 (ซึ่งสำนักงานศาลยุติธรรมอยู่ในระหว่างดำเนินการ) และกฎหมายลำดับรองเพื่อเป็นการส่งเสริมการใช้ระบบการประชุมทางจอภาพในการพิจารณาคดี เพื่อให้ครอบคลุมเหตุที่ไม่สามารถย้ายตัวจำเลยมาอยู่ในเขตอำนาจศาลที่รับฟ้อง เพื่อแก้ไขปัญหาความล่าช้าในการดำเนินคดีในกรณีที่จำเลยถูกคุมขังอยู่ต่างเขตอำนาจศาลรวมครอบคลุมถึงเหตุจำเป็นอื่น ๆ ในการอำนวยความยุติธรรมด้วย
5) กรมราชทัณฑ์ ต้องแจ้งให้ผู้ต้องขังทราบข้อมูลเกี่ยวกับการอายัดตัวในโอกาสแรกที่กระทำได้ โดยเห็นควรให้จัดทำเป็นคู่มือการแจ้งสิทธิของผู้ต้องขังเกี่ยวกับขั้นตอนการดำเนินคดีและข้อมูลเกี่ยวกับความคืบหน้าในการดำเนินคดี รวมทั้งควรมีการจัดทำแนวปฏิบัติร่วม (Guideline) เพื่อให้พนักงานสอบสวนและกรมราชทัณฑ์บูรณาการข้อมูลร่วมกัน ในส่วนของการอนุมัติย้ายตัวผู้ต้องหา กรมราชทัณฑ์ควรพิจารณาอนุมัติการย้ายตัวผู้ต้องหาให้รวดเร็วยิ่งขึ้น เช่น ให้มีการขอย้ายตัวผู้ต้องหาผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ในหลักเกณฑ์การย้ายผู้ต้องขัง ให้กรมราชทัณฑ์แก้ไขระเบียบกรมราชทัณฑ์ให้สามารถขออนุมัติย้ายผู้ต้องขังได้ในทุกกรณี ไม่ใช่เพียงเฉพาะกรณีของผู้ต้องขังที่คดีเสร็จเด็ดขาดและไม่มีคดีอื่นที่ต้องดำเนินการแล้วเท่านั้น
นอกจากนี้ กรมราชทัณฑ์ควรแก้ไขระเบียบให้ผู้ต้องขังที่ถูกอายัดได้มีโอกาสรับการฝึกอาชีพและรับการศึกษาอบรมนอกเรือนจำ หากข้อหาและโทษในคดีอายัดไม่ใช่ความผิดอันร้ายแรงที่จะสุ่มเสี่ยงต่อการหลบหนีและทำให้สังคมไม่ปลอดภัย และสุดท้ายให้กรมราชทัณฑ์ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดทำบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับการประสานการอายัดตัวที่มีทั้งกรณีที่มีหมายจับและไม่มีหมายจับ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลในการพิจารณาถึงความจำเป็น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 66
2. กสม. ชี้ กรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอของกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ จังหวัดเชียงใหม่ โดยไม่ได้รับความยินยอมโดยสมัครใจ เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ตามที่ชาวบ้านหมู่บ้านแกน้อยหย่อมบ้านถ้ำ และบ้านหนองเขียว ในตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ จำนวนมากได้รับผลกระทบจากการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐหลายฝ่ายเข้าปิดล้อมหมู่บ้านและเก็บตัวอย่างสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอของชาวบ้านโดยอาศัยเหตุแห่งการปราบปรามการแพร่ระบาดของยาเสพติดในพื้นที่แนวชายแดน และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2564 ได้มีมติหยิบยกกรณีดังกล่าวซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายและสิทธิในกระบวนการยุติธรรมอันเกี่ยวเนื่องกับเสรีภาพในเคหสถาน ขึ้นมาเป็นเรื่องตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้น
จากการแสวงหาข้อเท็จจริงพบว่า ในระหว่างวันที่ 15 –16 กรกฎาคม 2564 เจ้าหน้าที่ทหารกองร้อยทหารม้าที่ 4 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ 5 ได้ตรวจยึดยาเสพติดจำนวนมากในพื้นที่แนวชายแดนของอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ และตำรวจภูธรภาค 5 ได้สั่งการให้ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ปิดล้อมและตรวจค้นเป้าหมายยาเสพติดในพื้นที่อำเภอฝางซึ่งเป็นพื้นที่ที่ตรวจยึดยาเสพติดได้ และพื้นที่อำเภอใกล้เคียง รวมถึงอำเภอซึ่งมีพื้นที่ติดแนวชายแดน โดยให้ดำเนินการจัดเก็บตัวอย่างสารพันธุกรรมของกลุ่มคนที่น่าสงสัยว่ากระทำความผิดและมีความเกี่ยวเนื่องกับคดียาเสพติด สถานีตำรวจภูธรนาหวายจึงได้ปิดล้อมและตรวจค้นหมู่บ้านแกน้อยหย่อมบ้านถ้ำ และบ้านหนองเขียว ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีกลุ่มชาติพันธ์ลาหู่อาศัยอยู่ และได้เก็บเยื่อบุกระพุ้งแก้มเพื่อตรวจสารพันธุกรรมของชาวบ้านที่อาศัยในหมู่บ้านทั้งสองแห่งจำนวน 51 คน
จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงสรุปได้ว่า ในวันที่ 22 กรกฎาคม 2564 เจ้าหน้าที่ทหารได้ปิดทางเข้าออกหมู่บ้านเพียงระยะเวลาชั่วขณะหนึ่ง ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรนาหวาย ก็ไม่ได้เข้าไปตรวจค้นภายในบ้านพัก เพียงแต่เรียกให้ชาวบ้านออกมาและชาวบ้านได้ให้ความร่วมมือออกมารวมตัวกันที่ศาลาเอนกประสงค์ของหมู่บ้าน ดังนั้น ในชั้นนี้ จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่าการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐตรวจค้นหมู่บ้านในตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ มีการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
อย่างไรก็ตาม กรณีการเก็บเยื่อบุกระพุ้งแก้มเพื่อตรวจสารพันธุกรรมของผู้เสียหายกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด โดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และมีเอกสารที่แสดงว่า ผู้เสียหายกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ ได้ลงลายมือชื่อให้ความยินยอม จากการตรวจสอบปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้เสียหายกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ ยังไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการตรวจเก็บสารพันธุกรรม ไม่ทราบวัตถุประสงค์ในการตรวจเก็บ รวมถึงไม่ทราบว่าวิธีการดังกล่าวจะเป็นการพิสูจน์ตนเองว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลำเลียงยาเสพติด อีกทั้งการลงลายมือชื่อให้ความยินยอมเกิดจากการไม่ทราบข้อเท็จจริง เนื่องจากผู้เสียหายจำนวนหนึ่งอ่านหนังสือไม่ได้ ทั้งไม่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรนาหวายได้อธิบายถึงวัตถุประสงค์ในการตรวจเก็บตัวอย่างสารพันธุกรรมให้กับผู้เสียหายทราบ เพียงแต่ขอความร่วมมือในการตรวจเก็บเท่านั้น
การขอความยินยอมจากผู้เสียหายเพื่อเก็บตัวอย่างสารพันธุกรรมในกรณีนี้ จึงยังไม่สอดคล้องกับหลักการให้ความยินยอมโดยอิสระซึ่งกำหนดให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมีทางเลือกในการตัดสินใจว่าจะให้หรือไม่ให้ข้อมูลส่วนใดบ้าง และการไม่ให้ข้อมูลในส่วนนั้นต้องไม่เกิดผลเสียแก่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ในชั้นนี้จึงเชื่อว่า ผู้เสียหายกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ ที่ถูกตรวจเก็บสารตัวอย่างพันธุกรรมไม่ได้ให้ความยินยอมอย่างสมัครใจโดยอิสระและปราศจากการอยู่ภายใต้อำนาจกดดันจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้ผู้เสียหายที่ถูกตรวจเก็บไม่กล้าที่จะปฏิเสธบุคคลที่มีอำนาจเหนือกว่า จึงน่าจะอยู่ในภาวะที่จำต้องให้ความยินยอมในการถูกเก็บตัวอย่างสารพันธุกรรม ดังนั้น จึงเห็นว่า การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจเก็บตัวอย่างสารพันธุกรรมของผู้เสียหายโดยไม่ชี้แจงวัตถุประสงค์ให้เข้าใจและได้รับความยินยอมอย่างสมัครใจโดยอิสระ เป็นการกระทำที่กระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายของผู้เสียหายจนเกินสมควรแก่กรณี อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน นอกจากนี้ ยังปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีผู้เสียหายกลุ่มชาติพันธุ์ลาหู่ที่ถูกตรวจเก็บตัวอย่างสารพันธุกรรมที่ยังเป็นเด็กอายุยังไม่ครบ 18 ปีบริบูรณ์ จำนวน 3 ราย โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรนาหวายได้มีการดำเนินการใด ๆ ที่คำนึงถึงสิทธิเด็กที่จะต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ รวมถึงมีมาตรการคุ้มครองทางกฎหมายที่เหมาะสมโดยคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นอันดับแรก เช่น การมีนักสังคมสงเคราะห์ หรือสหวิชาชีพเข้าร่วมในกระบวนการจัดเก็บด้วย ดังนั้น การกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรนาหวาย จึงเป็นการกระทำที่ไม่สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กที่ประเทศไทยเป็นภาคีและมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม อันเป็นการละเมิดสิทธิเด็กอีกประการหนึ่ง
“กสม. เห็นว่า นอกจากเจ้าหน้าที่ของรัฐจะจัดเก็บตัวอย่างสารพันธุกรรมของชาวบ้านโดยอาศัยอำนาจตามกฎอัยการศึกแล้วยังมีกระบวนการตรวจและจัดเก็บข้อมูลผลการตรวจสารพันธุกรรมภายใต้นโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติอีกด้วย และเมื่อนโยบายดังกล่าวมิใช่บทบัญญัติแห่งกฎหมาย การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐจึงย่อมมีความเสี่ยงที่จะจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ และไม่สอดคล้องกับหลักความได้สัดส่วน อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน” กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติกล่าว
ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2565 จึงมีข้อเสนอแนะมาตรการในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สรุปได้ดังนี้
1) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เน้นย้ำและทำความเข้าใจให้แก่เจ้าหน้าที่ในการแจ้งข้อมูลที่จำเป็นให้แก่บุคคลที่จะต้องถูกเก็บตัวอย่างสารพันธุกรรม โดยต้องให้ผู้ที่จะถูกจัดเก็บให้ความยินยอมโดยสมัครใจ มิใช่การจำยอม รวมทั้งมีมาตรการพิเศษในการดำเนินการกับกลุ่มชาติพันธ์และเด็ก อาทิ การจัดให้มีล่ามภาษาท้องถิ่น และการมีนักสังคมสงเคราะห์ หรือสหวิชาชีพเข้าร่วมในกระบวนการจัดเก็บด้วย และให้ทบทวนการดำเนินนโยบายภายใต้แผนปฏิบัติการป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติดที่เกี่ยวกับการดำเนินโครงการเก็บและตรวจสารพันธุกรรมของบุคคลกลุ่มเสี่ยงและจากวัตถุพยานที่เกี่ยวข้องกับคดีเกี่ยวกับยาเสพติดและคดีอาญาอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเก็บตรวจสารตัวอย่างพันธุกรรมของบุคคลจะต้องเป็นไปเท่าที่จำเป็น และอยู่ภายใต้ความยินยอมที่แท้จริงของผู้ถูกจัดเก็บ
สำหรับกรณีที่เข้าจัดเก็บตัวอย่างสารพันธุกรรมของชาวบ้านที่หมู่บ้านแกน้อยหย่อมบ้านถ้ำ และหมู่บ้านหนองเขียวเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2564 ขอให้สั่งการให้ตำรวจภูธรภาค 5 และศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 5 ประสานกับนายอำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ แจ้งผลการตรวจสารพันธุกรรมของผู้ที่ถูกตรวจเก็บตัวอย่างให้รับทราบและเข้าใจผ่านผู้นำชุมชนของทั้งสองหมู่บ้านว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีการยึดยาเสพติดจำนวนมากในพื้นที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่เมื่อวันที่ 15 – 16 กรกฎาคม 2564 พร้อมสั่งการให้ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 5 ลบหรือทำลายข้อมูลสารพันธุกรรมของชาวบ้านทั้งสองหมู่บ้านที่ถูกตรวจเก็บสารตัวอย่างพันธุกรรมออกจากฐานข้อมูล
2) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ติดตามการดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องกับการเก็บและตรวจสารพันธุกรรมของบุคคลของหน่วยงานต่าง ๆ ที่ได้ให้การสนับสนุนงบประมาณประจำปี โดยเน้นย้ำให้การดำเนินโครงการต้องคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน โดยต้องแจ้งข้อมูลที่จำเป็นให้ผู้ที่จะต้องถูกเก็บตัวอย่างสารพันธุกรรมทราบ เช่น กฎหมายที่เกี่ยวข้อง วัตถุประสงค์ ขั้นตอนและวิธีการจัดเก็บ การนำไปใช้ เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องให้ผู้ที่จะถูกจัดเก็บให้ความยินยอมโดยสมัครใจ มิใช่การจำยอม รวมทั้งมีมาตรการพิเศษในการดำเนินการกรณีผู้ถูกจัดเก็บเป็นเด็กด้วย
ดาวน์โหลด PDF
เกี่ยวกับเรา
ย้อนกลับ
คณะกรรมการ
ประวัติความเป็นมา
หน้าที่และอำนาจ
ประวัติคณะกรรมการ
เป้าประสงค์ วิสัยทัศน์ พันธกิจ ยุทธศาสตร์และนโยบาย
ย้อนกลับ
สำนักงาน
ประวัติความเป็นมา
โครงสร้างหน่วยงาน
ผู้บริหาร
ค่านิยมองค์กร
การจัดการความรู้ในองค์กร (KM)
แผน/ผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณ
มาตรฐานทางจริยธรรม
ตราสัญลักษณ์และความหมาย
ย้อนกลับ
การประกาศนโยบาย
นโยบายเว็บไซต์
นโยบายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยเว็บไซต์
นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
นโยบายความเป็นส่วนตัว
นโยบายคุกกี้
เงื่อนไขการใช้บริการ
ย้อนกลับ
เกี่ยวกับเรา
ระบบงานภายในสำหรับเจ้าหน้าที่
คณะกรรมการ
สำนักงาน
การประกาศนโยบาย
คลังความรู้สิทธิมนุษยชน
ย้อนกลับ
สื่อประชาสัมพันธ์
สื่อสิ่งพิมพ์สำนักงาน กสม.
มุมมองสิทธิ์
เพลงเพื่อสิทธิมนุษยชน
สื่อวีดิทัศน์
สื่อวิทยุ
วารสาร
Infographic
Social Media
สื่อการเรียนรู้
สื่ออื่น ๆ
ย้อนกลับ
สิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
หลักการเกี่ยวกับสถานะของสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (หลักการปารีส)
พันธกรณีระหว่างประเทศ
แนวปฏิบัติ มาตรฐานและกฎหมายระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน
กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน
การประเมินสถานะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ย้อนกลับ
คลังความรู้สิทธิมนุษยชน
สื่อประชาสัมพันธ์
ธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน
สิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
สิทธิมนุษยชนศึกษา
คู่มือและแนวทางการปฏิบัติงานต่าง ๆ
ผลการศึกษา ผลงานวิจัย
การตรวจเยี่ยมเชิงป้องกัน
ผลการดำเนินงาน
ย้อนกลับ
รายงานผลการปฏิบัติงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
รายงานผลการปฏิบัติงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
บทสรุปผู้บริหาร รายงานผลการปฏิบัติงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ย้อนกลับ
รายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย
รายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย
บทสรุปผู้บริหารรายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย
แผนการจัดทำรายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย
รายงานข้อมูลสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ภูมิภาค
ย้อนกลับ
ข้อมูลสถิติต่าง ๆ
สถิติเรื่องร้องเรียน
ย้อนกลับ
รายงานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
รายงานด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ/ผลการประชุมอื่นๆ
ย้อนกลับ
ผลการดำเนินงาน
รายงานผลการปฏิบัติงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
รายงานผลการติดตามผลการดำเนินการด้านสิทธิมนุษยชน
รายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย
รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงิน
รางวัลนักสิทธิมนุษยชนดีเด่น
ข้อมูลสถิติต่าง ๆ
รายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน
มติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ด้านบริหาร
สรุปผลการประชุม/สัมมนา/เวทีทางวิชาการ/ระดมความคิดเห็น/การฝึกอบรม
บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU)
รายงานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
บริการประชาชน
ย้อนกลับ
แจ้งเรื่องร้องเรียนด้านสิทธิมนุษยชน
แนะนำการร้องเรียน
แจ้งเรื่องร้องเรียนด้านสิทธิมนุษยชนออนไลน์
ติดตามเรื่องร้องเรียน
ผังการให้บริการรับเรื่องร้องเรียนและการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
ย้อนกลับ
แจ้งข้อมูลอื่นๆ
รับฟังความคิดเห็น/ข้อเสนอแนะและติชมการให้บริการ
แจ้งข้อมูลสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชน
แจ้งเรื่องร้องเรียนการทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่สำนักงาน กสม.
ย้อนกลับ
การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสฯ (ITA)
เว็บไซต์เพื่อการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสฯ (ITA)
การส่งเสริมคุณธรรมและความโปร่งใส
การป้องกันการทุจริต
การเปิดโอกาสให้เกิดการมีส่วนร่วม
ย้อนกลับ
บริการประชาชน
แจ้งเรื่องร้องเรียนด้านสิทธิมนุษยชน
แจ้งข้อมูลอื่นๆ
บริการจดแจ้งองค์กรเอกชนด้านสิทธิมนุษยชนและสภาวิชาชีพ
ศูนย์สารสนเทศสิทธิมนุษยชน
ศูนย์ข้อมูลข่าวสารของราชการ
การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสฯ (ITA)
แบบฟอร์มออนไลน์
ดาวน์โหลดแบบฟอร์ม
ระบบบัญชีข้อมูลภาครัฐ
กฎหมาย
ย้อนกลับ
ระเบียบ ประกาศ แนวปฏิบัติ และคำสั่งของ กสม.
ระเบียบ กสม.
ประกาศ กสม.
แนวปฏิบัติ กสม.
คำสั่ง กสม.
ย้อนกลับ
ระเบียบ ประกาศ แนวปฏิบัติและข้อบังคับของสำนักงาน กสม.
ระเบียบ สำนักงาน กสม.
ประกาศ สำนักงาน กสม.
แนวปฏิบัติ สำนักงาน กสม.
ข้อบังคับ สำนักงาน กสม.
ย้อนกลับ
กฎหมาย
ร่างกฎหมายที่เปิดรับฟังความคิดเห็น
การประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
รัฐธรรมนูญ
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
พระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้อง
พระราชบัญญัติอื่น
ประมวลกฎหมาย
ประกาศองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ
มาตรฐานและข้อกำหนดทางจริยธรรม
ระเบียบ ประกาศ แนวปฏิบัติ และคำสั่งของ กสม.
ประกาศ เรื่อง การขึ้นทะเบียนผู้ทรงคุณวุฒิ
ระเบียบ ประกาศ แนวปฏิบัติและข้อบังคับของสำนักงาน กสม.
กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาพัสดุ
กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
หนังสือรวมกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
ข่าว
ย้อนกลับ
ข่าวจัดซื้อจัดจ้าง
แผนการจัดซื้อจัดจ้าง
ประกาศจัดซื้อจัดจ้าง
สรุปผลการจัดซื้อจัดจ้างรายเดือน/รายไตรมาส
สรุปผลการจัดซื้อจัดจ้างรายปี
พระราชบัญญัติ กฎกระทรวง และระเบียบ
หนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง
ระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (GProcurement)
คู่มือ/แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุ
ย้อนกลับ
ข่าว
ข่าว กสม. และเหตุการณ์สำคัญ
ข่าวสำนักงาน กสม.
ข่าวจัดซื้อจัดจ้าง
ข่าวสมัครงาน
ข่าวสำนักงาน กสม. พื้นที่ภาค
ข่าวฝากประชาสัมพันธ์
ติดต่อเรา
ย้อนกลับ
สำนักงาน กสม. (พื้นที่ภาค)
สำนักงาน กสม. พื้นที่ภาคใต้
สำนักงาน กสม. พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ย้อนกลับ
ติดต่อเรา
สำนักงาน กสม.
สำนักงาน กสม. (พื้นที่ภาค)
เว็บบอร์ด
สำนักงานพื้นที่ภาค
ย้อนกลับ
สำนักงานพื้นที่ภาค
เว็บไซต์ส่วนภูมิภาคภาคใต้
เว็บไซต์พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เว็บไซต์ส่วนภูมิภาคภาคเหนือ