กสม. ปรีดาร่วมงานเสวนา “เปิดประตูสู่ความเหลื่อมล้ำ” ในประเด็น “คนไร้สถานะ”

08/07/2565 224
วันที่ 8 กรกฎาคม 2565 นางปรีดา  คงแป้น กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ร่วมงานเสวนา  “เปิดประตูสู่ความเหลื่อมล้ำ” ในประเด็น “คนไร้สถานะ” ร่วมกับ รศ.ดร. พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนายวีนัส สีสุข ผู้เชี่ยวชาญด้านสัญชาติ กรมการปกครอง ณ ห้อง MITRTOWN HALL ชั้น 5 อาคารสามย่านมิตรทาวน์
ทั้งนี้ การเสวนาดังกล่าว จัดโดย องค์การประจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์  วิจัย และนวัตกรรม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอประเด็นปัญหาความเหลื่อมล้ำและความยากจนในสังคมไทย ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง และมีปัญหามากยิ่งขึ้นในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ซึ่งมีประเด็นที่นำเสนอเรื่องความเหลื่อมล้ำ ทั้งเรื่องคนจนเมือง การศึกษา คนไร้สถานะ คนพิการยากจน และผู้สูงอายุโดดเดี่ยว ซึ่งมีตัวแทนนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ และตัวแทนจากหน่วยงานรัฐ ร่วมแลกเปลี่ยนบนฐานความรู้ ข้อมูลข้อเท็จจริง อุปสรรคและปัญหาในการขับเคลื่อนนโนยาย รวมถึงความต้องการของประชาชน และผู้มีส่วนได้เสียหลักในประเด็นความเหลื่อมล้ำของสังคมไทยในหลากหลายมิติ
นางปรีดา  คงแป้น กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้กล่าวในการเสวนาว่าความเหลื่อมล้ำเรื่องคนไร้สถานะ 3 กลุ่มคือ
1. แรงงานต่างด้าวในสถานการณ์โควิด ที่ไม่สามารถเข้าถึงสิทธิการรักษาพยาบาลและการการเข้าถึงวัคซีน มีแรงงานข้ามชาติประมาณ 3 ล้านคน ในระบบแรงงาน แต่เมื่อมีสถานการณ์โควิด แรงงานต่างด้าวเหลือประมาณ 2.3  ล้านคน แรงงานเข้าไม่ถึงสิทธิใด ๆ เลย และต้องถูกกัก และถูกกล่าวหาว่าเป็นแหล่งแพร่กระจายของเชื้อโควิด 19
2. คนในค่ายพักพิงชั่วคราว 37 ปี จากประเทศเพื่อนบ้าน คนกลุ่มนี้อยู่ในค่ายมายาวนาน ไม่สามารถกลับประเทศต้นทาง และไม่สามารถไปประเทศอื่นได้ มีประมาณ 70,000 คน ที่ไม่มีสถานะใด ๆ ในประเทศไทย ซึ่งคนไร้สถานะในค่ายพักพิงชั่วคราว ได้รับผลกระทบหลายประการ เช่น การดำเนินชีวิต ไม่มีสิทธิออกไปหางานทำ มีสถานะเป็นผู้รับ ไม่สามารถทำงานได้ เป็นการลดทอนคุณค่า และดำรงชีพด้วยเบี้ยเลี้ยงเพียง 11 บาท ต่อวัน นอกจากนี้ยังมีเรื่อง ปัญหาสภาวะจิตใจ ซึ่งหลายคนเกิดในค่ายจนอายุ 30 กว่าปี ทำให้เกิดแรงกดดัน ภาวะซึมเศร้า และมีภาวะฆ่าตัวตายสูงมาก ปัญหาที่อยู่อาศัยที่ไม่เหมาะสม ทำจากไม้และใบตอง เสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้ และที่ตั้งเสี่ยงกับน้ำหลาก และการเข้าถึงการศึกษา โดยคนในค่ายพักพิงชั่วคราวไม่ได้เรียนภาษาไทย แต่เรียนแบบอื่น เพื่อส่งต่อไปประเทศปลายทาง จึงไม่มีจุดเกาะเกี่ยวกับประเทศไทยได้
3. กลุ่มคนไทยพลัดถิ่น มีกฎหมายออกมา 10 ปี มีการคืนสัญชาติได้ประมาณ 10,000 คน แต่คนสัญชาติไทยกลับไม่ได้รับคืนสัญชาตินายวีนัส สีสุข ผู้เชี่ยวชาญด้านสัญชาติ กรมการปกครอง ได้ให้คำจำกัดความว่า “คนไร้สถานะ” คือ การที่คนขาดการรับรองในสถานะบุคคล หรือเอกสารรับรองตัวตน ทำให้ไร้สิทธิในความเป็นคน มีทั้งคนไทย และคนต่างด้าว ขบวนการแก้ไขปัญหาของประเทศไทย มีการแยกไว้ 2 ประเภท คือ คนไร้รัฐ กับคนไร้สัญชาติ เพื่อแยกประเภทการแก้ไขปัญหา ในเรื่องคนไร้รัฐ ปัจจุบันมีคนต่างด้าวเข้ามาโดยชอบหรือไม่ นายทะเบียนต้องรับแจ้งเกิดเด็กที่เกิดในประเทศไทย เพื่อให้เด็กเหล่านั้นปรากฎว่ามีรัฐรู้เห็นการเกิด ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ 2551 รับแจ้งเกิดแล้ว 10 ล้านคน และให้มีการทำทะเบียนประวัติ เพื่อให้มีการปรากฏตัวทางเอกสาร ส่วนกรณีคนไร้สัญชาติ มีความพยายามแก้ปัญหามาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันรวมคนที่ได้ลงรายการสัญชาติไทยแล้วประมาณ 3 แสนคน
รศ.ดร. พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้กล่าวถึงคนไร้รัฐว่า เป็นการไร้พื้นที่ทางกฎหมายของคนที่ไม่มีสถานะ ทั้งที่ในความเป็นจริง ไม่ควรมีคนที่ไร้สถานะในประเทศไทย เพราะคนทุกคนต้องได้รับการขึ้นทะเบียน คนทุกคนในประเทศไทยหรือในพื้นที่ใด ๆ บนโลกนี้ ควรต้องได้รับสถานะ
เลื่อนขึ้นด้านบน