กสม. จัดประชุมเพื่อผสานความร่วมมือ เรื่อง “สิทธิชุมชนในการบริหารจัดการทรัพยากรในลุ่มแม่น้ำโขงและภูมิภาคอาเซียน”

04/07/2565 740
เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2565 นางสาวพรประไพ กาญจนรินทร์ ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ นางสาวศยามล ไกยูรวงศ์ และนางปรีดา คงแป้น กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ร่วมกับองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลก (World Wide Fund for Nature: WWF) องค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (United State Agency for International Development: USAID) ภายใต้โครงการแม่โขงเพื่ออนาคต (Mekhong For the Future Project) ผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน(ASEAN Intergovernmental Commission on Human Rights: AICHR) ผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก (ASEAN Commission on the Promotion of the Rights of Women and Children: ACWC) คณะทำงานติดตามผลกระทบการลงทุนข้ามพรมแดน (Extra - Territorial Obligation Watch Coalition: ETO Watch) นักวิชาการ และภาคประชาสังคม จัดประชุมผสานความร่วมมือ เรื่อง “สิทธิชุมชนในการบริหารจัดการทรัพยากรในลุ่มแม่น้ำโขงและภูมิภาคอาเซียน” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) นำเสนอภาพรวมการทำงานของ ETO Watch กับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) กรณีการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนในโครงการลงทุนข้ามพรมแดน และข้อจำกัดของการตรวจสอบ 2) การหาแนวทางการทำงานในอนาคต ในการตรวจสอบกรณีการลงทุนของไทยในการสร้างเขื่อนแม่น้ำโขงในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ที่เป็นเขื่อนใหม่ และการสร้างเขื่อนบนพรมแดน ไทย-ลาว และแนวทางการตรวจสอบ กรณีที่ศาลปกครองมีคำวินิจฉัยแล้ว
การประชุมดังกล่าว ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้กล่าวถึงบทบาทหน้าที่ของ กสม. ในการตรวจสอบข้ามพรมแดน เช่น การสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ การพัฒนาแผนเดินเรือกับกรณีการลงทุนข้ามพรมแดน การลงทุนทำเหมืองแร่และถ่านหินของบริษัทเอกชนที่จะส่งผลกระทบต่อประชาชน ซึ่งเป็นเรื่องที่ กสม. ได้รับเป็นเรื่องร้องเรียน ให้มีการแก้ไขปัญหาโดยการตรวจสอบการละเมิดมสิทธิมนุษยชน การจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า จะต้องมีการดำเนินงานให้สอดคล้องตามหลักการชี้แนะแห่งสหประชาชาติด้านธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน : การปฏิบัติตามกรอบการคุ้มครอง เคารพ เยียวยา (United Nation Guiding Principle on Business and Human Rights : Implementing the Protect, Respect, Remedy Framework) และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การประชุมหารือในวันนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นในการแสวงหาตัวอย่างที่เป็นที่ประจักษ์ เพื่อให้มีความชัดเจนในการดำเนินงานตามกรอบหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในการส่งเสริม เฝ้าระวัง และคุ้มครองเพื่อมิให้มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ศาสตราจารย์กิตติคุณ อมรา พงศาพิชญ์ ผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน(AICHR) ได้กล่าวถึงการทำงานว่า ภายใต้กรอบการทำงานของ AICHR คือ การส่งเสริมสิทธิมนุษยชน และในส่วนของการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน จะต้องทำงานเชื่อมโยงกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ดร.รัชดา ไชยคุปต์ ผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก (ACWC) นำเสนอกรอบการทำงานของ ACWC ซึ่งมีแผนงานเชื่อมโยงกับโครงการแม่โขงเพื่ออนาคต
ผู้แทนกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ได้นำเสนอกรอบการทำงานภายใต้แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (National Action Plan on Business and Human. Rights: NAP) และการเชื่อมโยงการทำงานเรื่องธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนที่ได้ดำเนินงานร่วมกับ ETO Watch เพื่อให้มีการตรวจสอบและเฝ้าระวังการประกอบธุรกิจที่ต้องเคารพสิทธิมนุษยชน
นายมนตรี จันทวงศ์ ผู้แทน ETO Watch ได้กล่าวถึง การตรวจสอบการลงทุนข้ามพรมแดน หรือการลงทุนของแหล่งทุนไทยในพื้นที่ประเทศเพื่อนบ้านที่ส่งผลกระทบ เช่น การสร้างเขื่อนฮัตจี โครงการปลูกอ้อยและน้ำตาลในเกาะกงและโอโดเมียนเจย การลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย โครงการเขื่อนไซยะบุรี เป็นต้น และมีข้อเสนอต่อ กสม. ในการสร้างหลักการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนข้ามพรมแดน กรณีที่เป็นการลงทุนภาครัฐ นโยบายของรัฐ การให้ความช่วยเหลือในการพัฒนา หรือการลงทุนภาครัฐ การลงนามในพันธสัญญาโดยรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ หรือการลงทุนโดยสถาบันการเงินของรัฐ นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอต่อกระบวนการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนของ กสม. เช่น การตรวจสอบภายหลังศาลมีคำวินิจฉัย กสม. ทำได้หรือไม่ในกรณีที่มีประเด็นใหม่ในเรื่องเดิม เอกสารที่มีการชี้แจงต่อ กสม. จะสามารถเป็นเอกสารสาธารณะได้หรือไม่ และ กสม. จะต้องพัฒนาหลักการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนในการดำเนินงานของภาคเอกชน เป็นต้น
ทั้งนี้ ภายหลังการประชุมหารือ ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและที่ประชุม เห็นด้วยในหลักการการจัดคณะทำงานเพื่อดำเนินงาน เพื่อเติมเต็มทั้งข้อมูล และความรู้ตั้งแต่ต้นน้ำจนปลายน้ำ และเพื่อเป็นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562
เลื่อนขึ้นด้านบน