กสม. ร่วมจัดงานถอดบทเรียน 20 ปี เครือข่ายคนไทยพลัดถิ่น และ 10 ปี พ.ร.บ. สัญชาติ 2555 - รับฟังความคิดเห็นเพื่อจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

30/05/2565 757

          เมื่อวันที่ 28 - 29 พฤษภาคม 2565 ที่เทศบาลเมืองระยอง อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ร่วมกับ มูลนิธิชุมชนไทย ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-Move) กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย วิทยาลัยนวัตกรรมเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต สำนักข่าว The reporter และสำนักข่าวไทยพีบีเอส  จัดกิจกรรมถอดบทเรียน 20 ปี เครือข่ายคนไทยพลัดถิ่น และ 10 ปี กฎหมายพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2555  ภายใต้โครงการประสานความร่วมมือกับเครือข่ายและสนับสนุนความเข้มแข็งในการขับเคลื่อนงานด้านสิทธิมนุษยชนประจำปี พ.ศ. 2565 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสรุปบทเรียนการขับเคลื่อนงาน 20 ปีของกลุ่มเครือข่ายคนไทยพลัดถิ่น และถอดบทเรียน 10 ปี ภายหลังการประกาศใช้กฎหมายพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ 2555 เนื่องจากตลอดช่วงระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมาปัญหาการไม่มีสัญชาติไทยและการเข้าไม่ถึงสิทธิในการเป็นคนไทยพลัดถิ่นยังคงอยู่ แม้จะมีการบังคับใช้พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ 2555 แต่ก็พบข้อจำกัดในการปฏิบัติตามกฎหมายของผู้ที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให้เกิดความล่าช้าเรื่องสิทธิและสุขภาวะของกลุ่มคนไทยพลัดถิ่นซึ่งประกอบด้วย กลุ่มตกสำรวจ กลุ่มพลัดหลงทางทะเบียน กลุ่มถูกจำหน่ายฯ และกลุ่มมุสลิมมะริดที่ยังเข้าไม่ถึงสิทธิตามกฎหมาย
          ในการนี้ นางปรีดา  คงแป้น กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ลงพื้นที่เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวและรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนเครือข่ายคนไทยพลัดถิ่นจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดระนอง จังหวัดชุมพร และจังหวัดพังงา ที่เข้าร่วมงานกว่า 300 คนโดยกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้สรุปและทบทวนบทเรียนการขับเคลื่อนเพื่อแก้ไขปัญหาคนไทยพลัดถิ่น ใน 10 ประเด็น ดังต่อไปนี้
          1. ในช่วงระยะเวลา 10 ปี คนไทยพลัดถิ่นเป็นคนไร้สัญชาติกลุ่มแรกและกลุ่มเดียวที่รวมกลุ่มกันจนได้กฎหมายคืนสัญชาติในประเทศไทย
          2. ในช่วงระยะเวลา 20 ปี เครือข่ายคนไทยพลัดถิ่นแสดงถึงพันธมิตรเครือข่ายที่มั่นคงและยั่งยืนสามารถขับเคลื่อนภารกิจทั้งเรื่องสัญชาติ ที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินความเข้มแข็งและยั่งยืนของเครือข่ายการแก้ไขปัญหาที่สัญชาติให้คนไทยพลัดถิ่น
          3. กลุ่มคนไทยพลัดถิ่นเป็นกลุ่มคนไร้สัญชาติในประเทศไทยที่รวมกลุ่มได้จำนวนมากและยาวนานที่สุด
          4. กลุ่มคนไทยพลัดถิ่นเป็นนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ยืนหยัดในการคืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ความเป็นธรรมเสรีภาพ และความเสมอภาค ที่ทำให้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและกลุ่มองค์กรเครือข่ายได้เรียนรู้และสร้างประสบการณ์บูรนาการทำงานร่วมกัน
          5. เครือข่ายคนไทยพลัดถิ่นได้เปิดพื้นที่การเรียนรู้ กระตุ้นต่อมสำนึกรับใช้สังคม ให้แก่นักศึกษา นักวิชาการ นักวิจัยและภาคประชาสังคม ถือเป็นคุณประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง
          6. เครือข่ายไทยคนพลัดถิ่นได้ผลักดันและกระตุ้นให้หน่วยราชการเร่งดำเนินการและบูรณาการทำงานแก้ไขปัญหาคนไทยพลัดถิ่นอย่างต่อเนื่องทั้งในระดับอำเภอ ระดับ จังหวัด ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วม
          7. เครือข่ายพหุพัฒนธรรมมีความชัดเจนในการช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันซึ่ง ทั้งกลุ่มพุทธและมุสลิม
          8. กลุ่มคนไทยพลัดถิ่นถือเป็นเปราะบางและกลุ่มประชากรเฉพาะ ซึ่งต้องได้รับการช่วยเหลือจากภาคประชาสังคมในการให้คำแนะนำแบ่งเบาภาระของภาครัฐไม่ให้ปัญหาถูกขยายออกไปในวงกว้าง
          9. เครือข่ายคนไทยพลัดถิ่นสามารถช่วยเหลือคนไทยพลัดถิ่น และกลุ่มตกสำรวจ อื่น ๆ เป็นตัวอย่างในการช่วยเหลือผู้ไร้สถานะบุคคลได้ทั่วประเทศ
          10. กระบวนการเครือข่ายเป็นกระบวนการที่เห็นคุณค่าของคนในการช่วยเหลือไม่ให้มีใครถูกทิ้งไว้เบื้องหลังและเป็นการช่วยเหลือสังคมอย่างแท้จริง
          กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า กสม. มีแผนดำเนินการในการช่วยเหลือคนไทยพลัดถิ่น โดยอยู่ระหว่างการศึกษาวิจัยกฎหมายและข้อบกพร่องรวมถึงแนวปฏิบัติที่มีข้อจำกัดเพื่อมีข้อเสนอแนะไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจะมีการหารือกับกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวร่วมกันต่อไปโดยเร็ว
          ทั้งนี้ ผลสรุปจากการเสวนาวิชาการพบว่า 10 ปี  ภายหลังการประกาศใช้กฎหมายพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2555 จนถึงปัจจุบันหลักการของกฎหมายดังกล่าวสามารถช่วยเหลือกลุ่มคนไทยพลัดถิ่นได้ในระดับที่ดี แต่มีข้อจำกัดในกฎหมายลำดับรองในระดับปฏิบัติ ได้แก่
          1. การยื่นคำขอพิสูจน์และรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่นและการอนุมัติรับรองโดยคณะกรรมการพิสูจน์และรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่นมีคำร้อง/ปี จำนวนน้อย เนื่องจากอำนาจการใช้ดุลยพินิจกฎระเบียบที่รัดกุมไม่ยืดหยุ่นของพนักงานเจ้าหน้าที่กรมการปกครองระดับอำเภอ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของผู้บริหารในแต่ละยุคสมัยของพื้นที่ในการให้ความสำคัญ ส่งผลให้ภาคปฏิบัติมีข้อจำกัดและดำเนินการได้ล่าช้า อีกทั้งคนไทยพลัดถิ่นจำนวนมากไม่สามารถอ่านออกเขียนได้ เป็นจุดอ่อนในกระบวนการเขียนคำขอพิสูจน์ฯ เปิดโอกาสในการทุจริตเรียกรับเงินสินบนเพื่อประโยชน์ส่วนตน จึงมีข้อเสนอให้ทบทวนกฎหมายในเรื่องระเบียบและแนวปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ภาคปฏิบัติในการลดดุลพินิจและทำให้กลไกมีกรอบระยะเวลาดำเนินการจะสามารถแก้ไขปัญหาได้
          2. การรับรู้และความเข้าใจของคนในสังคมตั้งแต่ข้าราชการในหลายตำแหน่งและบุคคลทั่วไป เช่น ฝ่ายกระบวนการยุติธรรมหรือข้าราชการครูยังขาดความเข้าใจในเรื่องคนไทยพลัดถิ่น มีการใช้ถ้อยคำตีตราว่าเราเป็นคนต่างด้าว หลบหนี เป็นคนเถื่อน เป็นเด็กเถื่อน ทำให้เกิดความเสียใจทั้งที่ต้นตระกูลเป็นคนไทย  จึงมีข้อเสนอให้ สร้างความร่วมมือกับองค์กรเครือข่ายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างการรับรู้สู่สังคมในวงกว้างภายใต้หลักการสิทธิมนุษยชน กล่าวคือไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มใด นับถือศาสนาใด ต้องได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม
          3. ปัญหาการไม่มีสถานะบุคคลของคนไทยพลัดถิ่น เป็นปัญหาเร่งด่วนที่กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยต้องให้ความสำคัญเป็นลำดับแรก เพราะเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์จำนวนมาก จึงมีข้อเสนอให้กรมการปกครองต้องมีโครงการเชิงรุกตั้งคณะทำงานร่วมกับองค์กรเครือข่ายคนไทยพลัดถิ่น และเร่งสำรวจรับคำขอเอกสารคนไทยพลัดถิ่นทั่วประเทศ และต้องกำหนดกิจกรรมในแผนปฏิบัติการที่มีระยะเวลาสิ้นสุดอย่างชัดเจน หรือการทบทวน mou เพื่อพัฒนากลไกความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
          ทั้งนี้มีกิจกรรมภายในงานประกอบด้วย การทำพิธีทางศาสนาพหุวัฒนธรรมอวยพรแก่กลุ่มคนไทยพลัดถิ่น การขับร้องเพลงให้กำลังใจ การมอบบัตรประชาชนให้แก่คนไทยพลัดถิ่น ประจำปี พ.ศ. 2565 การเสวนาวิชาการ การช่วยเหลือตรวจสอบเอกสารพิสูจน์และรับรองความเป็นคนไทยพลัดถิ่น คลินิคปรึกษากฎหมาย และการจัดแสดงนิทรรศการที่เกี่ยวข้อง

เลื่อนขึ้นด้านบน