๘๑ ปี ประชาธิปไตยไทย กับ สิทธิการเลือกตั้งที่ยังเข้าไปไม่ถึง : ปัญหาและทางออก
เมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๖ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยคณะอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองร่วมกับเครือข่ายเฝ้าระวังการเลือกตั้ง คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา สภาพัฒนาการเมือง คณะกรรมการการเลือกตั้ง มูลนิธิ อีพีเอ ธรรมศาสตร์จัดสัมมนาวิชาการ "๘๑ ปี ประชาธิปไตยไทย กับ สิทธิการเลือกตั้งที่ยังเข้าไปไม่ถึง : ปัญหาและทางออก" ณ ห้องรับรอง ๑-๒ รัฐสภา อาคาร ๒ การสัมมนาฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมฉลอง ๘๑ ปีแห่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศ และระดมความคิดเห็นจากผู้รู้และผู้รักในระบอบประชาธิปไตยในประเห็นปัญหา "การเข้าไม่ถึงสิทธิเลือกตั้ง" และร่วมกันนำเสนอแนวทางแก้ไขและทางออกเพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิทางการเมืองของพลเมืองและสร้างการตระหนักรู้ในปัญหา "การเข้าไม่ถึงสิทธิเลือกตั้ง" รวมถึงตระหนักถึงปัญหาการจัดการเลือกตั้งที่ยังไม่ "เสรี" (free) และ "บริสุทธิ์ยุติธรรม" (fair) เพื่อนำมาซึ่งการแก้ไขปัญหาสำคัญ ๆ ทั้งสองประการนี้ต่อไป การสัมมนาในครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ ๓ โดยมีวิทยากรร่วมอภิปรายดังนี้ นายไพบูลย์ นิติตะวัน สมาชิกวุฒิสภา ดร.ศรีประภา เพชรมีศรี อาจารย์ประจำศูนย์สิทธิมนุษยชนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประธานอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง นางสมศรี หาญอนันทสุข กรรมการนโยบายไทยพีบีเอส อดีตผู้อำนวยการ ANFREL นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย นางสุจิตรา สุทธิพงศ์ มูลนิธิพิทักษ์สตรีและเด็ก จังหวัดลำพูน สมาชิกสภาพัฒนาการเมือง นายชาลี ลอยสูง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย
ศาสตราจารย์อมรา พงศาพิชญ์ ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ ว่า สิทธิการเลือกตั้งที่ยังเข้าไม่ถึงเป็นหนึ่งในหลายเรื่องที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติให้ความสำคัญ เหตุที่ยังเข้าไม่ถึง คือหลักการปฏิบัติที่ยังเข้าไม่ถึง นอกจากนี้ กฎหมายที่ออกมาจะต้องมีผลเป็นการบังคับทั่วไป ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยระบุชัดใน ในมาตรา ๒๙ ว่าด้วยการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลจะกระทำมิได้ และมาตรา ๓๐ ที่ว่าด้วยบุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมายและได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน
นอกจากนี้ได้กล่าวถึงปัญหาการปฏิบัติและการบังคับใช้คือ (๑) สังคมไทยยังขาดความเข้าใจในสิทธิมนุษยชนที่ตรงกันและจริงจัง การใช้อำนาจยังมีปัญหา คือมีการแปลความหลักสิทธิมนุษยชนที่ต่างกัน (๒) แนวคิดเรื่องสิทธิมนุษยชนของรัฐยังไม่สอดคล้องกับนโยบาย และเสนอว่ารัฐบาลควรมีนโยบายให้นำเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นวาระแห่งชาติที่ชัดเจนในรัฐบาลทุกชุด (๓) กฎหมายของประเทศไทยยังไม่สอดคล้องอนุสัญญาและกติการะหว่างประเทศจึงเสนอให้แก้กฎหมายให้สอดคล้องกับต่างประเทศ (๔) ความเป็นธรรมทางสังคมยังไม่ชัดเจน เราเคยชินกับระบบอุปถัมภ์จึงมองข้ามความเป็นธรรมทางสังคมและสิทธิของบุคคลอื่น
การละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยการเลือกปฏิบัตินั้น คือ ความลำเอียง อคติ ซึ่งจะนำไปสู่การเลือกปฏิบัติและจะทำให้เกิดความไม่เท่าเทียม ในเรื่องของสิทธิการเลือกตั้งที่เข้าไม่ถึง รัฐต้องทำงานอย่างหนักเป็นพิเศษที่จะช่วยเหลือ และต้องมีมาตรการพิเศษช่วยผู้ถูกกระทำโดยต้องเป็นมาตรการเชิงบวกสำหรับผู้ด้อยโอกาสในกรณีพิเศษโดยใช้กฎหมายที่มีอยู่เอื้อให้เข้าถึงสิทธิ และเพื่อปรับไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ
นายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประธานอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง กล่าวในงานสัมมนาครั้งนี้ว่า สิทธิมนุษยชนที่สำคัญในระบอบประชาธิปไตยนั้นกฎหมายต้องมาก่อน ทั้งนี้ นักโทษ ผู้พิการ นักบวช ผู้อพยพ กลุ่มชาติพันธุ์ ควรจะมีสิทธิในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ทุกคนต้องสามารถเลือกได้ว่าจะให้ใครใช้อำนาจแทน ดังนั้นจะต้องเปิดพื้นที่ของประชาชนให้ได้มากที่สุด ไม่มองแต่จำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งในแต่ละครั้ง แต่จะต้องพิจารณาระเบียบ กฎเกณฑ์ ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีอำนาจในการสั่งการและประชาชนจะต้องมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการทุจริตการเลือกตั้งตามของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๘๗ ที่รัฐจะต้องดำเนินการตามแนวนโยบายด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน ต้องมีสิทธิในนโยบายและสามารถเสนอกฎหมาย นอกจากนี้ประชาชนต้องสามารถร่วมดูระเบียบและกฎหมายและร่วมแก้กฎหมายที่บกพร่อง โดยที่รัฐจะต้องทำให้สิทธิของประชาชนเกิดขึ้นให้ได้