โครงการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เรื่อง “การศึกษาและตาบอดสี”
โดย
นางฉัตรสุดา จันทร์ดียิ่ง กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
********************************
อาการตาบอดสี ที่จริงแล้วเป็นอาการบกพร่องความสามารถในการมองเห็นสีหรือที่เรียกให้ถูกต้องคือ อาการตาพร่องสี ผู้ที่มีอาการตาพร่องสีจะมองเห็นสีไม่เหมือนคนปกติ
อุบัติการณ์ พบในผู้ชาย 7.5 – 8.0 % พบในผู้หญิง 0.5 %
ส่วนใหญ่เป็นตาพร่องสีแดงและสีเขียว ( Red-Green Deficiency )
ส่วนน้อยเป็นตาพร่องสีน้ำเงิน ( Blue Deficiency )
ตาพร่องสีทุกสี ( Total Color Blindness ) พบน้อยมากคือ พบ 1 : 33,000
ผู้ที่มีอาการตาพร่องสีสามารถมองเห็นและดำรงชีวิตได้เหมือนคนปกติ แต่ไม่สามารถ ศึกษาต่อและประกอบอาชีพที่ต้องใช้ความสามารถในการมองเห็นสี เช่น นักบิน ทหาร ตำรวจ แพทย์ เภสัชกร ทันตแพทย์ เทคนิคการแพทย์ วิศวกร สถาปนิก ช่างไฟฟ้า ช่างอิเลคโทรนิค และคนขับรถขนส่งสาธารณะ เป็นต้น
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้รับเรื่องร้องเรียนปัญหาสิทธิมนุษยชนเรื่อง “การศึกษาและตาบอดสี”เป็นจำนวนมาก เนื่องจากเด็กนักเรียนที่สมัครสอบเข้าศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาหลายแห่งสามารถผ่านการสอบข้อเขียน แต่ตรวจร่างกายไม่ผ่านเกณฑ์ความสามารถในการมองเห็นสี ทำให้เกิดการสูญเสียทางด้านเศรษฐกิจ,สังคม,โอกาส,เวลา และ กระทบกระเทือนต่อจิตใจของเด็กนักเรียนอย่างรุนแรง เนื่องจากที่ผ่านมาไม่มีการตรวจคัดกรองหาอาการตาพร่องสีในเด็กนักเรียนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา เพื่อเตรียมความพร้อมทางการศึกษาให้เด็กนักเรียนตั้งแต่แรก
นางฉัตรสุดา จันทร์ดียิ่ง ประธานอนุกรรมการด้านสิทธิเด็กและการศึกษา ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้เล็งเห็นความสำคัญในการตรวจคัดกรองเด็กนักเรียนที่มีอาการตาพร่องสี ได้จัดให้มีการสัมมนาเวทีสาธารณะ โครงการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เรื่อง “การศึกษาและตาบอดสี” ในวันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2559 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
คณะอนุกรรมการด้านสิทธิเด็กและการศึกษาจึงเสนอให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ดำเนินการตรวจคัดกรองหาเด็กนักเรียนที่มีอาการตาพร่องสีตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา โดยให้ครูเป็นผู้ตรวจคัดกรองเด็กนักเรียนในโรงเรียน และใช้วิธีทดสอบแบบ ISHIHARA’s Test ชนิด 38 แผ่นที่ตีพิมพ์เมื่อปีค.ศ.2010 ให้เด็กนักเรียนอ่านแบบทดสอบ21แผ่นแรก ถ้าเด็กนักเรียนสามารถอ่านได้ถูกต้อง17แผ่นหรือมากกว่า แสดงว่าไม่มีตาพร่องสี ส่วนเด็กนักเรียนที่อ่านได้น้อยกว่า 17 แผ่นจะส่งไปที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด เพื่อให้จักษุแพทย์ตรวจวินิจฉัยต่อไป เด็กนักเรียนที่มีอาการตาพร่องสีจะได้รับการแนะนำแนวทางในการศึกษาต่อที่เหมาะสมตั้งแต่เนิ่นๆ และถือเป็นความลับไม่ให้คนอื่นรู้ ให้รู้เฉพาะผู้ปกครองและเด็กนักเรียนเท่านั้น
ส่วนปัญหาที่สองที่จะดำเนินการต่อคือ สถาบันการศึกษาทุกแห่งที่รับเด็กนักเรียนในสาขาวิชาเดียวกัน ต้องออกเกณฑ์ในการรับนักเรียนที่มีอาการตาพร่องสีที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน มีการตรวจหาอาการตาพร่องสีที่ใชีวิธีตรวจเหมือนกัน ไม่ใช้ดุลพินิจ และมีการประกาศอย่างชัดเจนและเปิดเผย เพื่อไม่ให้เกิดการเลือกปฏิบัติต่อเด็กนักเรียน
โครงการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เรื่อง “การศึกษาและตาบอดสี”
**********************************
คำถาม
ปัญหาสิทธิมนุษยชนเรื่อง การศึกษาและตาบอดสี มีอะไรบ้าง
ตอบ ประเทศไทยยังไม่มีการตรวจคัดกรองหาเด็กนักเรียนที่มีอาการตาบอดสีตั้งแต่เริ่มแรกเข้ารับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ทำให้นักเรียนและผู้ปกครองไม่ทราบสภาพการมองเห็นสีของบุตรหลานของตนเองทำให้ขาดการวางแผนในการศึกษาต่อในสาขาที่เหมาะสมกับสภาพการมองเห็นสี นักเรียนหลายคนมีความพยายามตั้งใจเรียนและไปสอบแข่งขันเพื่อเรียนในสาขาวิชาที่ตัวเองชอบ เมื่อผ่านการสอบข้อเขียนได้ด้วยความยากลำบาก แต่ไม่ผ่านการตรวจร่างกายเนื่องจากมีอาการตาบอดสี ทำให้ไม่สามารถผ่านการคัดเลือกเป็นนักศึกษาในสาขาวิชานั้นได้ ทำให้เกิดการสูญเสียทางด้านเศรษฐกิจ, เวลา และกระทบกระเทือนจิตใจของเด็กนักเรียนเป็นอย่างมาก
คำถาม
ปัญหาข้างต้นทาง กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มีแนวทางในการแก้ไขอย่างไร
ตอบ
คณะอนุกรรมการด้านสิทธิเด็กและการศึกษา ในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้มีการจัดประชุมหาแนวทางในการแก้ไขมาตลอด เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ 2559 ได้จัดสัมมนาเวทีสาธารณะโครงการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน เรื่อง “การศึกษาและตาบอดสี” โดยเชิญจักษุแพทย์, ตัวแทนจากที่ต่างๆเช่นราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย, กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข, สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา, สภาการพยาบาล, กรมการแพทย์, กรมแพทย์ทหารอากาศ, ร.พ.พระมงกุฎเกล้าฯ,สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, แพทยสภา และสถาบันการศึกษาอีกหลายแห่ง ได้ข้อสรุปว่า จะเสนอให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ตรวจคัดกรองหาเด็กที่มีอาการตาบอดสีตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา ให้ครูตรวจโดยใช้สมุดทดสอบตาบอดสี ISHIHARA’s Test ชนิด 38 แผ่น ที่ตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ.2010 โดยครูให้เด็กนักเรียนอ่านแผ่นทดสอบ 21 แผ่นแรก
ถ้าเด็กนักเรียนอ่านถูก 17 แผ่น หรือมากกว่า แสดงว่าการมองเห็นสีปกติ
ถ้าเด็กนักเรียนอ่านถูกน้อยกว่า 17 แผ่น จะส่งไปตรวจกับจักษุแพทย์ที่โรงพยาบาลจังหวัด
กรณีที่พบว่า เด็กนักเรียนมีอาการตาบอดสี ครูจะเก็บไว้เป็นความลับให้รู้แต่ผู้ปกครองและตัวเด็กนักเรียน เพราะถือเป็นความลับส่วนตัว และจะแนะแนวทางการศึกษาที่เหมาะสมให้
แบบบันทึกการทดสอบการมองเห็นสี เสนอให้ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทยเป็นผู้จัดทำให้
คำถาม
ปัญหาในการเข้ารับการศึกษาต่อในระดับอาชีวศึกษา และ อุดมศึกษา มีอะไรบ้าง
ตอบ
หลักเกณฑ์ในการรับเด็กนักเรียนที่มีอาการตาบอดสี ในสาขาและคณะเดียวกัน แต่ต่างวิทยาลัย ต่างมหาวิทยาลัย ไม่เหมือนกัน เช่น ระบุ
ตาบอดสี
ตาบอดสีอย่างรุนแรง
ตาบอดสีอย่างรุนแรงที่ได้รับการตรวจวินิจฉัยแล้ว
ตาบอดสีที่คณะแพทย์ที่ตรวจและลงความเห็นแล้วถือว่าสิ้นสุด
แต่ไม่มีการระบุว่าใช้เกณฑ์การตรวจอย่างไร, ใช้ตรวจวิธีไหน
คำถาม
ปัญหาข้างต้นทางกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จะแก้อย่างไร
ตอบ
คณะอนุกรรมการค้านสิทธิเด็กและการศึกษาจะมีข้อเสนอไปยังสถาบันการศึกษาทุกแห่งที่ไม่รับนักศึกษาที่มีอาการตาบอดสีในบางสาขาวิชาให้มีการประชุมพิจารณาหาหลักเกณฑ์ในการรับหรือไม่รับเด็กนักเรียนที่มีอาการตาบอดสีที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน มีการตรวจหาอาการตาบอดสีที่ใช้วิธีตรวจที่เหมือนกัน ไม่ใช้ดุลพินิจ และมีการประกาศอย่างชัดเจนและเปิดเผย เพื่อไม่ให้เกิดการเลือกปฏิบัติต่อเด็กนักเรียน อย่างไรก็ตามการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ต้องใช้เวลา, งบประมาณ, ทรัพยากรบุคคล อีกเป็นจำนวนมาก ทางกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจะพยายามผลักดันต่อไป และขอความร่วมมือจากภาคประชารัฐ
ความรู้เรื่องตาบอดสี
นพ.วีระชัย จันทร์ดียิ่ง จักษุแพทย์
คำถาม
ตาบอดสีคืออะไร
ตอบ
ตาบอดสีเป็นคำที่เราใช้กันมานานแล้ว ความเป็นจริงผู้ที่ถูกเรียกว่ามีตาบอดสี ยังสามารถมองเห็นภาพต่างๆได้ชัดเจนเหมือนคนปกติ แต่สีที่เขาเห็นจะไม่เหมือนคนปกติ น่าจะเรียกว่ามีความบกพร่องในการมองเห็นสีมากกว่า หรือจะเรียกสั้นๆว่าตาพร่องสี เขายังสามารถเรียนหนังสือ,ประกอบอาชีพและดำรงชีวิตได้อย่างปกติ ยกเว้นไม่สามารถศึกษาต่อหรือประกอบอาชีพบางอย่างที่ต้องใช้ความสามารถในการมองเห็นสี,แยกแยะสีให้ถูกต้อง เช่น แพทย์, พยาบาล, ทันตแพทย์, เภสัชกร, นักเทคนิคการแพทย์, ตำรวจ, ทหาร, นักบิน, วิศวกร, สถาปนิก, ผู้ควบคุมยานพาหนะขนาดใหญ่ เป็นต้น
คำถาม
สาเหตุของตาบอดสีเกิดจากอะไร
ตอบ เกิดจากความผิดปกติของเซลรับแสงสีต่างๆ จอประสาทตาที่อยู่ภายในลูกตาด้านหลัง ประกอบด้วยเส้นใยประสาทเล็กๆจำนวน 1 ล้านเส้น บริเวณจอประสาทจะมีเซลรับแสง ( Receptor cell ) 2 ชนิดคือ
1. Cone receptor มีลักษณะคล้ายถ้วยไอศครีมโคน มี 3 ชนิด
1.1 เซลรับแสงสีน้ำเงิน ( Blue receptor )
1.2 เซลรับแสงสีเขียว ( Green receptor )
1.3 เซลรับแสงสีแดง ( Red receptor )
จอประสาทตาที่มีเซลรับแสงชนิดโคนไม่ครบหรือไม่สมบูรณ์ทั้ง ๓ ชนิด การมองเห็นสีจะผิดไป เห็นสีไม่เหมือนคนปกติ
2. Rod receptor มีลักษณะคล้ายแท่ง ไม่มีบทบาทในการมองสี ใช้มองในที่มืด หรือ ที่มีแสงสลัวๆ
อุบัติการณ์
A. ตาพร่องสีส่วนใหญ่เป็นตั้งแต่กำเนิด มักเป็นทั้งสองข้าง
(เวลาตรวจการมองเห็นสี จะตรวจพร้อมกันสองข้าง)
ปัจจุบันยังรักษาไม่ได้ เช่น
1. ตาพร่องสีแดงและสีเขียว ( Red – Green Deficiency ) พบบ่อยที่สุด
ผู้ชายพบ 7.5 – 8.0% ผู้หญิงพบ 0.5%
ถ่ายทอดทางพันธุกรรมที่เรียก Sex linked recessive
2. ตาพร่องสีน้ำเงิน ( Blue Deficiency )
ถ่ายทอดทางพันธุกรรมที่เรียก Autosomal Dominant พบน้อย
เปรียบเสมือนโทรทัศน์สมัยก่อน ที่ต้องหลอดภาพแม่สีที่เรียก RGB
คือ หลอดภาพสีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน เวลาที่ใช้โทรทัศน์ไปเป็นเวลาหลายปี หลอดภาพสีจะเสื่อม
ภาพที่เห็นในโทรทัศน์จะมีสีที่ผิดเพี้ยนไป
คนที่มีอาการตาพร่องสีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน จะมีเซลรับแสงชนิดโคนหายไป 1 ชนิด
3. ตาพร่องสีทุกสี (Total Color Blindness) หรือ ตาบอดสีที่แท้จริง
คนที่มีเซลรับแสงชนิดโคนหายไป 2 ชนิด จะเห็นภาพเป็นสีขาวดำ
เหมือนโทรทัศน์ขาวดำสมัยก่อน พบได้น้อยมาก 1 : 33,000 ( 0.003% )
B. ตาพร่องส่วนน้อยเป็นภายหลังเกิด อาจเป็นตาเดียวหรือสองข้างก็ได้
( เวลาตรวจการมองเห็นสีจึงตรวจทีละข้าง ) เช่น
เกิดจากยาบางชนิดเช่นยา Ethambutal ใช้รักษาวัณโรค,ยา Digoxin ใช้รักษาโรคหัวใจ
ถ้าตรวจพบและหยุดยาได้เร็ว การมองเห็นจะค่อยๆดีขึ้น
เกิดในผู้ที่ดื่มเหล้า ทำให้ขาดวิตามิน B complex รักษาโดยให้วิตามิน B complex
เกิดจากขั้วประสาทตาอักเสบ ที่เรียกว่าOptic Neuritis
เกิดจากโรคของจอประสาทตา เช่น เบาหวานขึ้นจอประสาทตา จอประสาทตาเสื่อม
คำถาม รู้ได้อย่างไรว่ามีอาการตาพร่องสี
ตอบ ใช้สมุดทดสอบ ISHIHARA’s Test มีแผ่นสี 38 แผ่น ตีพิมพ์เมื่อปีค.ศ. 2010
เป็นการตรวจเฉพาะตาพร่องสีแดงและสีเขียว ( ซึ่งพบมากที่สุด )
แต่ไม่สามารถบอกระดับความรุนแรงของตาพร่องสีได้
ให้ผู้ถูกทดสอบอ่าน 21 แผ่นแรก
ถ้าอ่านถูก 17 แผ่นหรือมากกว่า แสดงว่า การมองเห็นสีปกติ ( Normal Color Vision )
ถ้าอ่านถูกน้อยกว่า 17 แผ่น ให้ครูส่งเด็กนักเรียนที่โรงพยาบาลจังหวัด พบจักษุแพทย์