Sorry, your browser does not support JavaScript!
-
A A A
+
  • youtube
  • facebook
  • English Thai
ผลการดำเนินงาน View : 89
กสม. แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 11/2564 กสม. ชงข้อเสนอแนะถึงรัฐบาล เรื่อง ร่าง พ.ร.บ.เอ็นจีโอ ให้เน้นสนับสนุนการทำงานมากกว่าการควบคุมตรวจสอบ -ร่วมขับเคลื่อนภารกิจด้านการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิฯ กับมหาวิทยาลัยในภูมิภาค 12 แห่งทั่วประเทศ
            วันที่ 9 ธันวาคม 2564 เวลา 10.30 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ และนางสาวศยามล ไกยูรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 11/2564 โดยมีวาระสำคัญ ดังนี้
            1. กสม. แนะรัฐบาลสนับสนุนการดำเนินงานของเอ็นจีโอมากกว่าเน้นควบคุมตรวจสอบ เพื่อมิให้กระทบเสรีภาพในการรวมตัวกันเพื่อดำเนินกิจกรรมสาธารณประโยชน์ และความร่วมมือในการพัฒนาประเทศ
            ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 อนุมัติหลักการของร่างกฎหมายว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกัน หรือ ร่าง พ.ร.บ. เอ็นจีโอ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ เพื่อให้มีกฎหมายกลางในการกำกับการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้ให้เป็นไปอย่างถูกต้อง เปิดเผย โปร่งใส ซึ่งต่อมาคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้พิจารณาคำร้องที่ 99/2564 ลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2564 เรื่อง เสรีภาพในการรวมตัวกันเป็นสมาคม กรณีกล่าวอ้างว่าการเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวไม่สอดคล้องกับขั้นตอนที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 ทั้งมีเนื้อหาจำกัดเสรีภาพในการดำเนินงานขององค์กรเอกชน กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ครั้งที่ 33/2564 (8) เมื่อวันอังคารที่ 27 กรกฎาคม 2564 เห็นว่า กรณีดังกล่าวเป็นประเด็นเกี่ยวกับเสรีภาพในการรวมกันเป็นสมาคม สหกรณ์ สหภาพ องค์กร ชุมชน หรือหมู่คณะอื่น ความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติ สิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย เสรีภาพในความเป็นอยู่ส่วนตัว และเสรีภาพในการติดต่อสื่อสาร ซึ่งได้รับการรับรองและคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงมีมติให้ศึกษาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว เพื่อจัดทำเป็นข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน กรณีร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกัน พ.ศ. ....
            ในการนี้ กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริง บทบัญญัติของกฎหมาย มาตรฐานสิทธิมนุษยชน เอกสาร และความเห็นจากหน่วยงานภาครัฐและภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นว่าการดำเนินมาตรการของรัฐต่อองค์กรที่ไม่แสวงหารายได้ฯ ควรเน้นที่การส่งเสริมสนับสนุนและการพัฒนามากกว่าการควบคุมกำกับ ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมและคุ้มครองเสรีภาพในการรวมกันเป็นสมาคม สหกรณ์ สหภาพ องค์กร ชุมชน หรือหมู่คณะอื่น รวมทั้งสิทธิของบุคคลและชุมชนในการดำเนินการและการมีส่วนร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและรัฐ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 42 และมาตรา 43 และมาตรา 78 ประกอบมาตรา 257 (3) ที่กำหนดให้รัฐควรส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ รวมทั้งสอดคล้องกับการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพในการรวมกันเป็นสมาคม และสิทธิในการเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารงานของรัฐ ตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR)
            ด้วยเหตุดังกล่าว กสม. ในคราวประชุม กสม. ด้านการคุ้มครองและมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ครั้งที่ 49/2564 (24) เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 จึงมีมติเห็นชอบข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กรณีร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการดำเนินงานขององค์กรที่ไม่แสวงหารายได้ฯ เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สรุปได้ดังนี้
            1) ควรส่งเสริมสนับสนุนหลักการที่มุ่งเน้นให้เกิดการรวมกลุ่มของประชาชนที่มีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินกิจกรรมสาธารณประโยชน์ ช่วยเหลือประชาชนให้ได้รับโอกาส ความเสมอภาค ความเป็นธรรม มีคุณภาพชีวิตที่ดี และพัฒนาสังคมให้ยั่งยืน ตลอดทั้งส่งเสริมการมีส่วนร่วมในกระบวนการนโยบายสาธารณะ การเป็นหุ้นส่วนในการพัฒนาประเทศเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และการส่งเสริมความเข้มแข็งให้องค์กรภาคประชาสังคม โดยดำเนินการให้เป็นไปตามสิทธิและเสรีภาพของประชาชนที่ได้รับการรับรองและคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 42 มาตรา 43 มาตรา 78 และมาตรา 257 (3) ตลอดจนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติเป้าหมายที่ 17
            2) ควรทบทวนหลักการและเหตุผลที่มุ่งเน้นการควบคุมตรวจสอบและจำกัดเสรีภาพในการรวมกันเป็นสมาคม ซึ่งกระทบต่อการตัดสินใจโดยอิสระและการดำเนินกิจกรรมที่ไม่แสวงหารายได้ ทั้งนี้ การดำเนินกิจกรรมที่ไม่แสวงหารายได้ฯ ต้องไม่ถูกบังคับให้จดแจ้งหรือจดทะเบียน และการไม่จดแจ้งนั้นจะต้องไม่นำมาเป็นเหตุของการเพิกถอนองค์กรหรือดำเนินคดีอาญา แต่จะเป็นเพียงเหตุที่มีผลต่อการได้รับหรือไม่ได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากรัฐตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น
            3) ควรกำหนดความหมายคำว่า “องค์กรไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกัน” และขอบเขตการบังคับใช้กฎหมายแก่องค์กรดังกล่าวให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้กระทบต่อเสรีภาพในการรวมตัวกัน และไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินกิจกรรมขององค์กรที่ไม่มุ่งแสวงหารายได้ฯ ซึ่งมีรูปแบบที่หลากหลาย
            4) ควรพิจารณาตรวจสอบกฎหมายหรือระเบียบที่มีการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการควบคุมกำกับดูแลและตรวจสอบองค์กรที่ไม่แสวงหารายได้ฯ เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนและไม่สร้างภาระเกินจำเป็น รวมทั้งควรกำหนดหลักเกณฑ์ในการใช้ดุลพินิจไว้ในกฎหมายให้ชัดเจน โดยไม่เปิดช่องให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจตามอำเภอใจหรือเลือกปฏิบัติ
            5) ควรยกเลิกบทบัญญัติที่กำหนดโทษทางอาญากรณีการไม่จดแจ้งหรือไม่จดทะเบียนที่อาศัยเพียงการไม่จดแจ้งหรือไม่จดทะเบียนมาเป็นเหตุให้ต้องรับโทษทางอาญา ทั้งนี้ กรณีที่กฎหมายบัญญัติกำหนดให้เป็นความผิดและมีโทษทางอาญา ควรต้องบัญญัติให้เห็นถึงการกระทำที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือกระทบต่อสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่นประกอบด้วย และพึงกำหนดโทษทางอาญาเฉพาะความผิดร้ายแรงเท่านั้น
            6) ควรควบคุมกำกับดูแลองค์กรที่ไม่แสวงหารายได้หรือกำไรมาแบ่งปันกันที่มีความเสี่ยงที่จะสร้างผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือการกระทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะเจาะจงไม่ใช้การเหมารวม และควรกำหนดหลักเกณฑ์ให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้กระทบต่อองค์กรที่ไม่แสวงหารายได้ฯ องค์กรอื่น ซึ่งมีเจตนาที่ดีและมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง
            2. กสม. จับมือสถาบันอุดมศึกษาในภูมิภาค ขับเคลื่อนภารกิจด้านการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิฯ ผ่านกลไกศูนย์ศึกษาและประสานงานฯ 12 แห่งทั่วประเทศ
            คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เห็นความสำคัญของการขับเคลื่อนงานด้านการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ จึงได้ร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาในทุกภูมิภาคจัดตั้งศูนย์ศึกษาและประสานงานด้านสิทธิมนุษยชนในภูมิภาค ขึ้นมารวม 12 แห่ง เพื่อให้เป็นศูนย์กลางในการประสานงานด้านสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ ส่งเสริมให้ประชาชนได้รับความรู้ ความเข้าใจในเรื่องสิทธิมนุษยชน และได้รับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนอย่างทั่วถึง โดยเมื่อวันที่ 2 – 3 ธันวาคม 2564 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนางสาวพรประไพ กาญจนรินทร์ ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ นางปรีดา คงแป้น ผู้ช่วยศาตราจารย์สุชาติ เศรษฐมาลินี นางสาวศยามล ไกยูรวงศ์ นางสาวปิติกาญจน์ สิทธิเดช และนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ประชุมหารือเกี่ยวกับการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนภารกิจด้านส่งเสริมการเคารพสิทธิมนุษยชน ภายใต้ศูนย์ศึกษาและประสานงานด้านสิทธิมนุษยชนในภูมิภาค ร่วมกับเจ้าหน้าที่และคณาจารย์จากศูนย์ศึกษาและประสานงานฯ ทั้ง 12 แห่ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรับทราบสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ วางกรอบการดำเนินงาน ตลอดจนแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำงานระหว่างศูนย์ศึกษาและประสานงานฯ ในแต่ละภูมิภาค
            จากการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและสำรวจสถานการณ์แต่ละภูมิภาคในเบื้องต้น พบว่า สถานการณ์ที่เสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนในภูมิภาคส่วนใหญ่เกี่ยวเนื่องกับสิทธิชุมชนในการมีส่วนร่วมใช้และจัดการฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การขาดการมีส่วนร่วมในโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ ข้อพิพาทกรณีที่อาศัยที่ทำกินของประชาชนทับซ้อนที่ดินของรัฐ ปัญหาการไร้สิทธิและสถานะทางทะเบียน สิทธิในกระบวนการยุติธรรมจากการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคง และสิทธิแรงงาน
            “นโยบายหลักประการหนึ่งในการทำงานของ กสม. ชุดปัจจุบัน คือ มุ่งเน้นการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนด้วยความรวดเร็วและเป็นธรรม เพื่อให้ประชาชนได้รับการคุ้มครองสิทธิฯ และได้รับการแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที ดังนั้น การดำเนินงานในระดับภูมิภาคจึงเป็นภารกิจสำคัญภารกิจหนึ่งที่ กสม. มุ่งขับเคลื่อนให้เกิดการทำงานร่วมกันกับภาคีเครือข่ายทั้งสถาบันการศึกษา ภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาสังคม เพื่อให้สามารถตอบโจทย์การส่งเสริมความรู้และคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประชาชนที่ถูกละเมิดสิทธิได้อย่างรวดเร็ว และสอดคล้องกับบริบทปัญหาของแต่ละภูมิภาคซึ่งแตกต่างกัน” นายวสันต์ กล่าว
            สำหรับศูนย์ศึกษาและประสานงานด้านสิทธิมนุษยชนในภูมิภาค 12 แห่ง ซึ่งร่วมขับเคลื่อนงานกับ กสม. มีที่ตั้ง ณ สถาบันอุดมศึกษาต่าง ๆ ดังนี้ 1) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี จังหวัดปัตตานี 2) มหาวิทยาลัยขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น 3) มหาวิทยาลัยบูรพา จังหวัดชลบุรี 4) มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี 5) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ 6) มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี 7) มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี จังหวัดจันทบุรี 8 ) มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี 9) มหาวิทยาลัยพะเยา จังหวัดพะเยา 10) มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต 11) มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี และ 12) มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา จังหวัดยะลา
ดาวน์โหลด PDF
 

09/12/2564

© 2015 สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนเเห่งชาติ. All Right Reserved.
นโยบายเว็ปไซต์ | นโยบายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยเว็บไซต์.

  ipv6 ready 
จำนวนผู้เข้าชมทั้งหมด
5394658
คน
จำนวนผู้เข้าชมวันนี้
401
คน