วันที่ 1 กันยายน 2566 เวลา 10.30 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดย
นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ และ
นายชนินทร์ เกตุปราชญ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ครั้งที่ 31/2566 โดยมีวาระสำคัญดังนี้
1. กสม. ชี้ การตรวจหาสารเสพติดในสถานประกอบกิจการแบบเหมารวมหรือสุ่มตรวจ เป็นการละเมิดสิทธิฯ เสนอทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องร่วมกันแก้ไข
นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ร้องรายหนึ่งเมื่อเดือนธันวาคม 2565 ระบุว่า ผู้ร้องเป็นพนักงานของบริษัทแห่งหนึ่งในจังหวัดสระบุรี โดยบริษัทจัดให้มีการตรวจหาสารเสพติดและไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า มีการปิดประตูรั้วโรงงานและให้พนักงานที่ทำงานรอบกลางคืนเข้ารับการตรวจหาสารเสพติดทุกคน แม้จะแจ้งว่าพนักงานสามารถลงลายมือชื่อแสดงความยินยอมหรือไม่ยินยอมก็ได้ แต่พนักงานเกรงว่า ถ้าไม่ยินยอมจะมีผลกระทบต่อการประเมินปรับเงินประจำปี เงินโบนัส หรือตำแหน่ง จึงยินยอม ต่อมาผู้ร้องได้แสดงความประสงค์ขอถอนเรื่อง แต่เนื่องจากการตรวจหาสารเสพติดในสถานประกอบกิจการอาจกระทบต่อสิทธิแรงงาน กสม. จึงได้หยิบยกกรณีดังกล่าวขึ้นตรวจสอบ
กสม. พิจารณาข้อเท็จจริง บทบัญญัติของกฎหมาย หลักสิทธิมนุษยชน ความเห็นจากผู้ทรงคุณวุฒิ ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ให้การรับรองและคุ้มครองไว้ว่าบุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย รวมถึงมีสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว การกระทำอันเป็นการละเมิดหรือกระทบต่อสิทธิของบุคคลหรือการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ประโยชน์ไม่ว่าในทางใด ๆ จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเพียงเท่าที่จำเป็นเพื่อประโยชน์สาธารณะ
นอกจากนี้ยังเห็นว่า สถานประกอบกิจการซึ่งเป็นโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน เจ้าของหรือผู้ดำเนินกิจการมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เรื่อง กำหนดมาตรการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหาการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในสถานประกอบกิจการ ลงวันที่ 9 มีนาคม 2565 ซึ่งไม่มีข้อกำหนดให้เจ้าของหรือผู้ดำเนินกิจการตรวจหาสารเสพติดในลูกจ้าง อีกทั้ง การตรวจปัสสาวะเพื่อหาสารเสพติดในโรงงานเกิดขึ้นเนื่องจากสถานประกอบกิจการสมัครใจเข้าร่วมและดำเนินการตามโครงการโรงงานสีขาว และโครงการมาตรฐานการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานประกอบกิจการ (มยส.) ของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ซึ่งโครงการดังกล่าว มีหัวข้อประเมินหัวข้อหนึ่งที่กำหนดมาตรการเฝ้าระวังพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดโดยให้สถานประกอบกิจการมีกระบวนการค้นหาผู้เสพ/ผู้ติดยาในสถานประกอบกิจการ และแม้ว่าการได้รับการรับรองตามโครงการโรงงานสีขาว และ มยส. ไม่ได้กำหนดว่าสถานประกอบกิจการต้องปฏิบัติตามหัวข้อประเมินให้ครบทุกข้อจึงจะได้รับการรับรอง และนายจ้างไม่สามารถกำหนดข้อบังคับการทำงานให้ลูกจ้างต้องตรวจหาสารเสพติดได้ก็ตาม แต่ปรากฏว่ายังมีสถานประกอบกิจการบังคับลูกจ้างตรวจหาสารเสพติดในลักษณะเดียวกับที่มีการร้องเรียน กสม. ดังนั้น การที่สถานประกอบกิจการจัดกิจกรรมตรวจหาสารเสพติดในลูกจ้างไม่ว่าโดยการสุ่มตรวจหรือตรวจแบบเหมารวม ตามหลักเกณฑ์ของ มยส. จึงเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายของลูกจ้าง อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ส่วนกรณีที่สถานประกอบกิจการใช้วิธีการให้ลูกจ้างแสดงความยินยอมให้ตรวจสอบสารเสพติด ถึงแม้จะสามารถทำได้ตามหลักกฎหมาย แต่เมื่อการตรวจหาสารเสพติดเป็นการกระทำที่กระทบสิทธิในชีวิตและร่างกาย และสิทธิในความเป็นส่วนตัวของลูกจ้าง การให้ความยินยอมควรต้องเป็นความสมัครใจอย่างแท้จริง ปราศจากการถูกโน้มน้าว บีบบังคับ หลอกให้เชื่อ หรือกดดันทั้งทางตรงและทางอ้อมจากบุคคลหรือบรรยากาศแวดล้อม ในฐานะที่ลูกจ้างอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของนายจ้าง ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจเหนือโดยแท้ การตัดสินใจต่าง ๆ ย่อมมีผลต่อการปฏิบัติงานของลูกจ้าง จึงอาจยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าการที่ลูกจ้างให้ความยินยอมตรวจหาสารเสพติดเป็นการยินยอมด้วยความสมัครใจอย่างแท้จริง ดังนั้น การให้ลูกจ้างแสดงความยินยอมในการตรวจหาสารเสพติดจึงเป็นวิธีที่สุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ด้วยเหตุผลดังกล่าว กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2566 จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางที่เหมาะสมในการป้องกันหรือแก้ไข การละเมิดสิทธิมนุษยชนไปยังกระทรวงแรงงานให้ยกเลิกข้อกำหนดของ มยส. ในหัวข้อประเมิน ตัวชี้วัด และเกณฑ์การให้คะแนนที่ให้สถานประกอบกิจการดำเนินการตาม ในหัวข้อ “4. มาตรการเฝ้าระวังพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด (5) มีกระบวนการค้นหาผู้เสพ/ผู้ติดยาในสถานประกอบกิจการ” และแจ้งให้สถานประกอบกิจการทุกแห่งทราบ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการภายใน 90 วัน นับแต่ได้รับรายงานผลการตรวจสอบฉบับนี้
รวมทั้งมีข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ว่า ให้กระทรวงแรงงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจัดทำคู่มือแนวทางการตรวจหาสารเสพติดในสถานประกอบกิจการที่ถูกต้องตามกฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติดเพื่อเป็นข้อมูลให้สถานประกอบกิจการใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการ ทั้งนี้ ควรกำชับสถานประกอบกิจการมิให้บังคับตรวจหาสารเสพติดแบบเหมารวมหรือสุ่มตรวจอันไม่เป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติด และให้คณะกรรมการ ป.ป.ส. นำเรื่องสภาพบังคับที่ได้สัดส่วนและความเหมาะสมกับพฤติการณ์ในกรณีที่ตรวจพบว่าลูกจ้างกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในสถานประกอบกิจการมาร่วมประกอบในการใช้ดุลพินิจกำหนดโทษแก่เจ้าของหรือผู้ดำเนินกิจการสถานประกอบกิจการตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ด้วย เพื่อมิให้เป็นการเพิ่มภาระแก่ผู้ประกอบกิจการเกินสมควร
นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือคำสั่ง ไปยังกระทรวงยุติธรรมในฐานะที่รักษาการตามพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ให้พิจารณาออกกฎกระทรวงกำหนดประเภทสถานประกอบกิจการและตำแหน่งที่จำเป็นต้องจัดให้มีการตรวจหาสารเสพติดในลูกจ้างที่ต้องปฏิบัติงานซึ่งใช้ความระมัดระวังอย่างสูงและจำเป็นต้องมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ตลอดเวลา โดยยึดหลักความยินยอมและความจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อความปลอดภัยแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประโยชน์สาธารณะของประชาชนเป็นที่ตั้ง โดยเฉพาะสถานประกอบกิจการที่ต้องมีผู้ควบคุมเครื่องจักรอันตราย สารเคมีอันตราย หรือวัตถุอันตราย เป็นต้น ทั้งนี้ เมื่อตรวจพบสารเสพติดในลูกจ้างควรยึดหลักการผู้เสพคือผู้ป่วย เพื่อมุ่งนำลูกจ้างเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษาในสถานพยาบาลยาเสพติดเป็นลำดับแรก เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 74 ที่บัญญัติให้รัฐพึงส่งเสริมให้ประชาชนมีความสามารถในการทำงานอย่างเหมาะสมกับศักยภาพและพึงคุ้มครองผู้ใช้แรงงานให้ได้รับความปลอดภัยและมีสุขอนามัยที่ดีในการทำงาน
2. กสม. เผยผลการติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามข้อเสนอแนะของ กสม. ชุดที่ 4 จำนวน 42 รายงาน หน่วยงานส่วนใหญ่แก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิฯ ตามข้อเสนอแนะแล้ว
นายชนินทร์ เกตุปราชญ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามมาตรการหรือข้อเสนอแนะของ กสม. มาอย่างต่อเนื่อง โดย กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2566 ได้มีมติเห็นชอบให้ยุติการติดตามการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะ/มาตรการหรือแนวทางที่เหมาะสมในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำนวน 42 รายงาน เนื่องจากหน่วยงานได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะแล้ว ขณะที่บางกรณีหน่วยงานไม่อาจดำเนินการได้โดยมีเหตุผลอันควร ทั้งนี้สามารถแบ่งประเภทรายงานผลการตรวจสอบที่ กสม. มีมติให้ยุติการติดตามการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะ ได้ดังต่อไปนี้
(1) รายงานผลการตรวจสอบประเภทสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง จำนวน 23 รายงาน ตัวอย่างเรื่องที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของ กสม. แล้ว เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ได้มีการแก้ไขปัญหากรณีการสอบสวนคดีล่าช้า โดยเร่งรัดให้พนักงานสอบสวนที่รับผิดชอบของแต่ละคดีดำเนินการสอบสวนให้แล้วเสร็จและส่งสำนวนให้พนักงานอัยการโดยเร็ว นอกจากนี้ กรณีที่มีการร้องเรียนว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจบันทึกภาพใบอนุญาตขับขี่โดยไม่ได้รับความยินยอม ตร. ได้เน้นย้ำ
การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ถือตามระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด โดยห้ามมิให้มีการบันทึกภาพใบอนุญาตขับขี่ หรือกรณีที่กรมราชทัณฑ์ได้แก้ไขปัญหาการตรวจค้นร่างกายผู้ต้องขังด้วยวิธีการไม่เหมาะสมเพื่อค้นหาสิ่งของต้องห้ามก่อนเข้าโดยตั้งงบประมาณเพื่อติดตั้งเครื่องตรวจค้นร่างกายผู้ต้องขัง (Body Scan) และเรือนจำบางแห่งเริ่มจัดซื้ออุปกรณ์ดังกล่าวแล้ว ขณะเดียวกันได้กำชับเรือนจำและทัณฑสถานให้ถือปฏิบัติตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการตรวจร่างกายผู้ต้องขังเข้าใหม่และผู้ต้องขังเข้า – ออกเรือนจำ พ.ศ. 2561 โดยให้เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ ยังมีการจัดทำคำแปลระเบียบและข้อบังคับต่าง ๆ ของเรือนจำเป็นภาษาต่างประเทศเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ต้องขังชาวต่างชาติ หรือ กรณีที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ภาค 4 ส่วนหน้า ได้ร่วมมือกับผู้นำศาสนาหรือผู้นำชุมชนในพื้นที่ ปรับปรุงแนวทาง/วิธีการในการเข้าเยี่ยมบ้านให้มีการปฏิบัติที่สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนมากยิ่งขึ้น
(2) รายงานผลการตรวจสอบประเภทสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม จำนวน 18 รายงาน ตัวอย่างเรื่องที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของ กสม. เช่น กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ได้แก้ไขปัญหาร้องเรียนเรื่องทรงผมนักเรียน โดยยกเลิกระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ.2563 และได้กำหนดแนวนโยบายให้สถานศึกษากำหนดลักษณะทรงผมได้ตามบริบทและความเหมาะสม เพศสภาพหรือเพศวิถี โดยไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ส่วนกรณีการลงโทษนักเรียนด้วยวิธีที่รุนแรง ได้มีการกำชับหน่วยงานในสังกัดให้ซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ
ว่าด้วยการลงโทษนักเรียนและนักศึกษา พ.ศ. 2548 เพื่อนำไปปฏิบัติได้ถูกต้องและไม่ให้เกิดการละเมิดสิทธินักเรียนนักศึกษาทุกรูปแบบ หรือกรณีปัญหาการได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุไม่ครบถ้วน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ได้ประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจเรื่องการลงทะเบียนรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และมีการสำรวจจำนวนประชาชนที่มีสิทธิรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุแล้ว ขณะที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้บูรณาการฐานข้อมูลสวัสดิการทางสังคมร่วมกับกรมบัญชีกลาง และกรมการปกครอง เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติของผู้มีสิทธิได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และเชื่อมโยงฐานข้อมูลทะเบียนราษฎรด้วยระบบคอมพิวเตอร์
(3) รายงานข้อเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน จำนวน 1 รายงาน คือ รายงานข้อเสนอแนะกรณีผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของ กสม. เช่น กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ให้กับประชาชนทุกสัญชาติในประเทศไทย รวมทั้งบุคคลไร้รัฐ อย่างทั่วถึง กรมการแพทย์ได้จัดทำแนวทางเวชปฏิบัติ การวินิจฉัย ดูแลรักษาและป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล สำหรับแพทย์และบุคลากรสาธารณสุข และจัดทำคู่มือ Home Isolation ขณะที่กระทรวงมหาดไทยแจ้งว่าปัจจุบันมีเงินทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสหรือกลุ่มเปราะบาง ในระดับหมู่บ้านและชุมชน เช่น กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี เป็นต้น เพื่อทำหน้าที่ดูแลและให้การช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างทันท่วงที
สามารถดาวน์โหลดเอกสารเพิ่มเติม :
01-09-66-แถลงข่าว-ครั้งที่-31-2566_.pdf
ข่าวเสริมในการแถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 31/2566 (วันศุกร์ที่ 1 กันยายน 2566 เวลา 10.30 น.)
กสม. สนับสนุนรัฐบาลไทยให้สัตยาบันเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ (CED)
นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า วันที่ 30 สิงหาคมที่ผ่านมา สมัชชาสหประชาชาติ กำหนดให้เป็นวันผู้สูญหายสากล หรือ International Day of the Disappeared เพื่อให้สังคมร่วมกันตระหนักถึงปัญหาการถูกบังคับให้สูญหายหรืออุ้มหายที่เกิดขึ้นทั่วโลก
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) เห็นว่า ประเทศไทยได้บังคับใช้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 แล้วตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 โดยกฎหมายดังกล่าว มีบทบัญญัติอันเป็นสาระสำคัญที่สอดคล้องกับหลักการในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ (International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance: CED) หรืออนุสัญญา CED ที่ไทยเคยประกาศเจตนารมณ์เข้าเป็นภาคีเมื่อปี 2555 แต่ในขณะนั้นยังไม่สามารถให้สัตยาบันเข้าเป็นภาคีได้โดยสมบูรณ์เนื่องจากยังไม่มีการอนุวัติการกฎหมายหรือออกกฎหมายลูกภายในประเทศให้สอดคล้องตามหลักการของอนุสัญญา CED
เมื่อประเทศไทยมีกฎหมายภายในประเทศ ที่สอดคล้องตามหลักการของอนุสัญญา CED ซึ่งประกันสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่จะไม่ถูกกระทำให้สูญหายโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือบุคคลที่ได้รับอนุญาต/
ได้สนับสนุนจากเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยไม่มีข้อยกเว้นไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด ๆ แล้ว รัฐบาลไทย
จึงสมควรเร่งให้สัตยาบันเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา CED อันจะนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย นโยบาย หรือการดำเนินการใด ๆ ของเจ้าหน้าที่รัฐให้สอดคล้องกับมาตรฐานสิทธิมนุษยชนมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ยังเป็นการย้ำให้เห็นถึงท่าทีของไทยที่ให้ความสำคัญกับหลักสิทธิมนุษยชนและส่งเสริมบทบาทอันดีในเวทีระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในขณะที่ไทยอยู่ระหว่างสมัครเข้าเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (HRC) ในวาระปี ค.ศ. 2025 – 2027 ด้วย
สามารถดาวน์โหลดเอกสารเพิ่มเติม :
ข่าวเสริมประกอบการแถลงข่าวเด่นประจำสัปด.pdf
สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
1 กันยายน 2566