ตามที่ปรากฏเป็นข่าวกรณีคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.)ได้ประกาศนัดเชิญชวนประชาชน มาร่วมแสดงพลังยกระดับการชุมนุมตามพื้นที่ต่างๆ ของกรุงเทพมหานคร โดยจะมีการเดินรณรงค์ทั่วกรุงเทพมหานครต่อเนื่อง เพื่อชักชวนให้ประชาชนมาร่วมการชุมนุมใหญ่ ในวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๗ นั้น
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้ติดตามข้อมูลสถานการณ์การชุมนุมมาอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง จึงมีความวิตกกังวล และห่วงใยต่อสถานการณ์ความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้น และอาจเกิดความสูญเสียขึ้นอีก ซึ่งที่ผ่านมาได้มีบทเรียนความสูญเสียที่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงขึ้นในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ณ บริเวณมหาวิทยาลัยรามคำแหงและสนามราชมังคลากีฬาสถาน ในวันที่ ๑ – ๒ ธันวาคม ๒๕๕๖ ณ บริเวณสะพานชมัยมรุเชษฐ์ และในวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๖ ณ ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น) จนกระทั่งมีผู้ได้รับบาดเจ็บ จำนวน ๔๖๑ ราย และเสียชีวิต จำนวน ๘ ราย อีกทั้งผู้ที่ได้รับความเสียหายโดยที่ผ่านมา คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้มีแถลงการณ์เรียกร้องให้ทุกฝ่ายยึดแนวทางสันติในการแก้ปัญหา เคารพสิทธิซึ่งกันและกันมาโดยตลอด
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ให้บทเรียนแก่ทุกฝ่ายเกี่ยวกับการใช้สิทธิและเสรีภาพในการชุมนุม และการใช้อำนาจของรัฐเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งมีบทบาทและหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยในอันที่จะส่งเสริมการเคารพและปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชนเพื่อให้เหตุการณ์บ้านเมืองเกิดความสงบและเรียบร้อยอยู่ร่วมกันด้วยความสันติสุข จึงขอเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนคำนึงและสมควรดำเนินการตามข้อที่ควรปฏิบัติ ดังนี้
๑. ผู้จัดการชุมนุมและกลุ่มผู้ชุมนุมจะต้องมีหน้าที่ร่วมกัน ทำให้เกิดการชุมนุมเป็นไปโดยความสงบ สันติ และปราศจากอาวุธ หรือสิ่งเทียมอาวุธทุกชนิดในพื้นที่การชุมนุม โดยยึดแนวทางสันติวิธี หลักนิติธรรม ภายใต้หลักการสิทธิเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
๒. รัฐบาลต้องดูแลการชุมนุม ให้เป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย และป้องกันมิให้เกิดความรุนแรงจากบุคคลผู้ไม่หวังดี ภายใต้กรอบแห่งกฎหมาย และเป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล โดยจะต้องหลีกเลี่ยงและป้องกันมิให้เกิดสถานการณ์ความรุนแรงที่ไม่พึงประสงค์ ดังเช่นที่เกิดขึ้นมาแล้ว ณ บริเวณมหาวิทยาลัยรามคำแหงและสนามราชมังคลากีฬาสถาน บริเวณสะพานชมัยมรุเชษฐ์ และศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น)
๓. รัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อเนื่อง และร่วมมือประสานงานการข่าวกับหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่นสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ศูนย์รักษาความปลอดภัย เป็นต้น เพื่อให้การข่าวมีประสิทธิภาพ ไม่ให้กลุ่มที่มีอุดมการณ์ที่ต่าง และความเห็นต่าง เผชิญหน้ากัน อันจะช่วยป้องปรามและยับยั้งไม่ให้เกิดความรุนแรงขึ้นได้
๔. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ควรเร่งสืบสวน สอบสวน หาผู้กระทำความผิดจากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ได้แก่ บริเวณมหาวิทยาลัยรามคำแหงและสนามราชมังคลากีฬาสถาน บริเวณสะพานชมัยมรุเชษฐ์ ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น) มาดำเนินการตามกฎหมาย และรายงานให้สาธารณชนทราบเป็นระยะๆ โดยเร็ว
๕. รัฐบาลจะต้องให้การดูแลรักษาพยาบาลผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ การเยียวยาผู้เสียหาย ผู้บาดเจ็บ และผู้ที่เสียชีวิตจากกรณีเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นตามหลักเกณฑ์ที่วางไว้เป็นมาตรฐานเพื่อให้เป็นไปตามหลักมนุษยธรรม โดยการให้หลักประกันว่าจะให้ความเป็นธรรมและเยียวยาทุกฝ่าย ทั้งในรูปเงินช่วยเหลือ การฟื้นฟู การช่วยเหลืออื่น ๆ และการเยียวยาด้านจิตใจโดยไม่เลือกปฏิบัติ
๖. สื่อมวลชนต้องนำเสนอข่าวที่เป็นข้อเท็จจริง เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ และต้องเป็นการสร้างสรรค์ ช่วยให้สังคมเกิดความสันติ
๗. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ใคร่ขอความอนุเคราะห์จากทุกฝ่ายที่ได้รับผลกระทบหรือพบเห็นเหตุการณ์ความรุนแรง ให้เก็บรวบรวมหลักฐานต่างๆ เช่น บันทึกภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว หรือเก็บวัตถุพยานไว้เป็นหลักฐาน และนำส่งสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หรือแจ้งข้อมูลผ่านสายด่วน ๑๓๗๗ หรือทางอีเมล์
[email protected] โดยให้ระบุสถานที่สำหรับติดต่อกลับ เช่น หมายเลขโทรศัพท์ติดต่อเพื่อประโยชน์ในการรวบรวมหลักฐานข้อมูลต่างๆ
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ขอให้ผู้ชุมนุม เจ้าหน้าที่ของรัฐ และทุกภาคส่วนต้องอดทน อดกลั้น ยึดมั่นในหลักสันติวิธี เคารพในสิทธิและเสรีภาพของกันและกัน เพื่อมิให้มีเหตุการณ์ความรุนแรงจนเกิดความสูญเสียขึ้นอีก โดยคำนึงถึงประโยชน์และความสงบของประเทศชาติเป็นสำคัญ
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ